วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

Haye new WBA Unified Cruiser Champ after Stopping


November 11, 2007 - Britain's David Haye won the WBA and WBC cruiserweight titles in dramatic fashion by knocking out French champion Jean-Marc Mormeck in the seventh round at the Palais des Sport Marcel Cerdan in Levallois-Perret, outside Paris, France on Saturday night.
Haye was dropped in the fourth round and looked on the verge of defeat before recovering to pull off an amazing victory. After hurting Mormeck at the end of the sixth, Haye landed a right uppercut followed by a left hook, then another right, to send Mormeck down.
The early rounds did not produce the fireworks predicted, with Mormeck unfazed by Haye's early shots. Mormeck dominated up close and put Haye down with a right hander at the start of the fourth. Haye looked unsteady but survived the round. Afterwards, Haye said his victory was the culination of 17 weeks training in Cyprus

ภาพมวยสากล



กติกามวยสากลสมัครเล่น สำหรับการแข่งขันนานาชาติ

กติกาข้อ 1 " สังเวียน " ( THE RING )
ก. ข้อกำหนด (Requirements) ในการแข่งขันทั่วไป สังเวียนต้องเป็นไปตามข้อกำหนดดังนี้
1.ขนาด (Size) สังเวียนเล็กต้องมีขนาด 4.90 x 4.90 ม. ( 16 ฟุต x 16 ฟุต ) และสังเวียนขนาดใหญ่ต้องมีขนาด 6.10 x 6.10 ม. ( 20 ฟุต x 20 ฟุต ) ซึ่งวัดภายในของเชือกการแข่งขันเพื่อความชนะเลิศระหว่างประเทศต้องใช้สังเวียนขนาด 6.10 x 6.10 ม. พื้นสังเวียนต้องสูงจากพื้นดินหรือฐานไม่น้อยกว่า 91 ซ.ม. ( 3 ฟุต ) หรือมากกว่า 1.22 ม. ( 4 ฟุต )
2.พื้นที่และมุมสังเวียน (Platform and Corner Pads) พื้นที่สังเวียนต้องสร้าง ให้ปลอดภัยได้ระดับปราศจากสิ่งกีดขวาง และต้องยื่นออกนอกเชือกอย่างน้อย 46 ซ.ม. ( 18 นิ้ว ) ต้องตั้งเสาที่มุมทั้งสี่พร้อมหุ้มนวมให้เรียบร้อย หรือจะทำอย่างใดที่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายแก่นักมวย มุมสังเวียนต้องจัดให้เป็นลักษณะ ดังนี้ มุมสังเวียนด้านซ้ายที่อยู่ใกล้ประธานคณะลูกขุนเป็นสีแดง มุมด้านซ้ายมือที่อยู่ไกลเป็นสีขาว มุมด้านขวามือที่อยู่ไกลเป็นสีน้ำเงิน และมุมด้านขวามือที่อยู่ใกล้เป็นสีขาว
3.การปูพื้นสังเวียน (Floor Covering) พื้นสังเวียนต้องปูด้วยสักหลาด ยางหรือวัสดุอื่น ๆ ที่เหมาะสม มีลักษณะยืดหยุ่นได้ มีความหนาไม้น้อยกว่า 1.30 ซ.ม. ( 1/2 นิ้ว ) และไม่หนากว่า 1.90 ซ.ม. ( 3/4 นิ้ว ) ปูทับด้วยผ้าใบให้ตึงและมิดชิดคลุมพื้นสังเวียนทั้งหมด
4.เชือก (Ropes) ต้องมีเชือก 3 หรือ 4 เส้น มีความหนาอย่างน้อย 3 ซ.ม. ( 1.18 นิ้ว ) อย่างมาก 5 ซ.ม.( 1.97 นิ้ว ) ขึงตึงกับเสามุมสังเวียนทั้งสี่เสา สูงจากพื้นสังเวียน 40 ซ.ม. (1 ฟุต 3.7 นิ้ว) 80 ซ.ม. ( 2 ฟุต 7 นิ้ว ) และ 1.30 ม. ( 4 ฟุต 3 นิ้ว ) ตามลำดับ กรณีเชือก 4 เส้น กำหนดความสูงของเชือก ตามลำดับ ดังนี้ 40 ซ.ม. ( 16 นิ้ว ) 71.1 ซ.ม. ( 28นิ้ว ) 101 .6 ซ.ม. ( 40 นิ้ว ) และ 132.1 ซ.ม. ( 52 นิ้ว ) เชือกต้องหุ้มด้วยวัสดุที่อ่อนนุ่ม หรือเรียบเชือกแต่ละด้านของสังเวียนต้องผูกยึดด้วยผ้าเหนียว 2 ชิ้น ซึ่งมีขนาดกว้าง 3 - 4 ซ.ม. ( 1.2 - 1.6 นิ้ว ) ให้มีระยะห่างเท่า ๆ กัน และผ้าที่ผูกนั้นต้องไม่เลื่อนไปตามเชือก
5.บันได ( Steps ) สังเวียนต้องมีบันได 3 บันได สองบันไดต้องอยู่ที่มุมตรงกันข้ามสำหรับผู้แข่งขันและพี่เลี้ยง ส่วนอีกบันไดหนึ่งให้อยู่ที่มุมกลางสำหรับผู้ชี้ขาดและแพทย์
6.กล่องพลาสติก (Plastic Bag) ที่มุมกลางทั้งสองมุมนอกสังเวียนให้ติดกล่องพลาสติกมุมละ 1 กล่อง เพื่อให้ผู้ชี้ขาดทิ้งสำลี หรือกระดาษบาง ๆ ที่ใช้ซับเลือดแล้ว
ข. สังเวียนเพิ่มเติม (Additional Rings) อาจใช้สังเวียน 2 สังเวียนในการแข่งขันเพื่อความ ชนะเลิศครั้งสำคัญ ๆ ได้
กติกาข้อ 2 " นวม " ( GLOVES )
ก. นวมที่ใช้แข่งขัน ( Authorized Gloves ) ผู้แข่งขันต้องสวมนวมสีแดงและสีน้ำเงิน ให้ตรงกับมุมของผู้แข่งขัน โดยคณะกรรมการจัดการแข่งขันได้จัดไว้ให้และนวมนั้น ได้ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการบริหารของ A.I.B.A แล้ว ไม่อนุญาตให้ผู้แข่งขันใช้นวมของตนเอง
ข. รายละเอียดของนวม ( Specifications ) นวมต้องมีน้ำหนัก 10 ออนซ์ ( 284 กรัม ) ส่วนที่เป็นหนังต้องหนักไม่เกินครึ่งหนึ่งของน้ำหนักนวมทั้งหมดและไส้นวมต้องไม่ถูกทำให้เคลื่อนไป จากความเป็นจริงหรือแตกจากกัน สำหรับการแข่งขันนานาชาติใด ๆ ที่ A.I.B.A ให้การรับรอง นักมวยต้องสวมนวมชนิด Velcro เท่านั้น ให้ใช้นวมที่สะอาด และใช้การได้เท่านั้น
ค. กรรมวิธีควบคุมนวมของ A.I.B.A ( Procedure for control of A.I.B.A Gloves ) A.I.B.A จะเป็นผู้กำหนดรายละเอียดของนวมให้แก่โรงงานที่ผลิตนวมเพื่อใช้สำหรับแข่งขัน ภายใต้การควบคุมของ A.I.B.A ผู้ผลิตนวมรายใดที่ประสงค์จะได้รับการรับรองนวม 10 ออนซ์ จาก A.I.B.A จะต้องส่งตัวอย่างนวมให้คณะกรรมาธิการสวัสดิภาพและอุปกรณ์ของ A.I.B.A ทำการตรวจสอบเสียก่อน แล้วจึงให้คณะกรรมการบริหารของ A.I.B.A ให้การรับรองขั้นสุดท้าย จากนั้นผู้ผลิตนวมจะได้รับตรารับรองอย่างเป็นทางการจาก A.I.B.A เพื่อนำไปติดที่นวมแต่ละข้างซึ่งผลิตขึ้นสำหรับใช้แข่งขันมวยสากลสมัครเล่นต่อไปผู้ผลิตนวมที่ประสงค์จะให้ A.I.B.A รับรองนวมจะต้องทำสัญญากับสำนักงาน A.I.B.A เพื่อประกันว่านวมที่ผลิตนั้นเป็นชนิดที่ได้ผ่านการรับรองและถูกต้องตามรายละเอียดทุกประการ คณะกรรมการบริหารของ A.I.B.A จะกำหนดจำนวนเงินที่ผู้ผลิตนวมต้องวางเงินค้ำประกันสัญญา และค่าธรรมเนียมที่จะต้องจ่ายสำหรับนวมแต่ละคู่และขั้นตอนการจ่ายเงินในกรณีที่เสียค่าปรับ ขั้นตอนเหล่านี้จะถูกส่งไปยังผู้ผลิตนวมทุกรายองค์กรทุกองค์กรของ A.I.B.A ต้องรับผิดชอบ และรับรองนวมที่จะใช้แข่งขันทุกรายการแข่งขันที่จัดขึ้น A.I.B.A ให้การรับรองสำหรับการแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของ A.I.B.A สหพันธ์มวยแห่งทวีปให้การรับรองสำหรับการแข่งขันเพื่อความชนะเลิศแห่งทวีป สมาคมมวยแห่งประเทศให้การรับรองสำหรับการแข่งขันทุกรายการที่อยู่ภายใต้ การควบคุมของสมาคมแห่งประเทศนั้น ๆ โดยปกติแล้วผู้จัดการแข่งขันอาจใช้นวมใดก็ได้ที่ A.I.B.A ให้การรับรองแล้ว เว้นแต่ว่าองค์กรของ A.I.B.A ที่รับผิดชอบได้เจาะจงให้ใช้นวม จากผู้ผลิตรายใดไว้โดยเฉพาะ การแข่งขันรายการใดรายการหนึ่งผู้แข่งขันทุกคนต้องสวมนวมชนิดเดียวกัน
ง. การตรวจตราการสวมนวมของ A.I.B.A ( A.I.B.A Gloving Supervision ) ทั้งนวมและผ้าพันมือจะต้องเหมาะสมอยู่ภายใต้การตรวจตราของเจ้าหน้าที่ผู้มีความรู้ด้านนี้โดยตรง จำนวน 2 คน ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดูแลการปฏิบัติต่าง ๆ ให้เป็นไปตามกติกา เจ้าหน้าที่นี้จะคอยดูแลเพื่อให้แน่ใจว่านักมวยปฏิบัติถูกต้องตามกติกาทุกอย่าง จนกระทั่งนักมวยขึ้นสู่เวที
กติกาข้อ 3 " ผ้าพันมือ " ( BANDAGES )
ก. รายละเอียดของผ้าพันมือ ( Specifications ) ให้ใช้ผ้าพันมือชนิด VELPEAU ยาวข้างละไม่เกิน 2.50 ม. ผ้าพันมือชนิดอื่นใช้ไม่ได้ ห้ามใช้แถบกาว ยาง หรือปลาสเตอร์ ทุกชนิด เป็นผ้าพันมือ เด็ดขาด แต่อาจใช้สายยืดเส้นเดียว ยาว 7.6 ซ.ม. ( 3 นิ้ว ) และกว้าง 2.50 ซ.ม. ( 1 นิ้ว ) เพื่อยึดผ้าพันมือที่เหนือขึ้นมาก็ได้
ข. การแข่งขันระดับทวีป และโอลิมปิก ( Continental , World and Olympic Tournaments ) ประเทศเจ้าภาพต้องจัดหาผ้าพันมือไว้ใช้สำหรับการแข่งขันระดับทวีป โลก และโอลิมปิก ผู้แข่งขันแต่ละคู่จะต้องใช้ผ้าพันมือใหม่ที่เจ้าหน้าที่จัดให้ที่ห้องแต่งกายก่อนการแข่งขันทุกครั้ง
กติกาข้อ 4 " เครื่องแต่งกาย " ( DRESS )
ก. เครื่องแต่งกายสำหรับแข่งขัน ( Authorized Dress) ผู้แข่งขันต้องแต่งกายดังนี้
1. การแต่งกาย ( Clothing ) ผู้แข่งขันจะต้องสวมรองเท้าชนิดเบาหรือหุ้มส้น ( ไม่มีตะปูและส้นเท้า ) ถุงเท้า กางเกงขาสั้นความยาวไม่เกินเข่า และเสื้อไม่มีแขนปิดอกและหลัง สำหรับการแข่งขันนานาชาติ โอลิมปิกเกมส์ การแข่งขันชิงถ้วยโลก การแข่งขันเพื่อความชนะเลิศโลก การแข่งขันเพื่อความชนะเลิศโลก(สำหรับนักมวยอายุต่ำกว่า 19 ปี) การแข่งขันในเครือจักรภพ หรือการแข่งขันใด ๆ ที่ A.I.B.A ให้การรับรอง นักมวยต้องสวมเสื้อยืดที่จัดหามาเอง สีแดงหรือสีน้ำเงิน ตามมุมของตน เสื้อยืดดังกล่าวจะมีชื่อประเทศของนักมวย และตราตามขนาดและรายละเอียดที่ A.I.B.A อนุญาตให้ติดได้ คือ ไม่ใหญ่กว่า 100 ตารางเซนติเมตร ถ้ากางเกงและเสื้อเป็นสีเดียวกัน แนวเข็มขัดต้องมีสายรัดเอวชนิดยืดได้กว้าง 10 เซนติเมตร เป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ( แนวเข็มขัดประมาณจากสะดือถึงเหนือสะโพก
2. สนับฟัน ( Gumshields ) ผู้แข่งขันต้องใส่สนับฟัน สนับฟันต้องเป็นชนิดที่กระชับกับฟัน ประเทศเจ้าภาพต้องจัดหาสนับฟันชนิดนี้ไว้สำหรับนักมวยที่ไม่มีสนับฟันเป็นของตนเอง โดยคิดค่าใช้จ่ายจากนักมวยหรือสมาคมของนักมวยคนนั้นสังกัด ห้ามนักมวยจงใจบ้วนสนับฟันระหว่างแข่งขัน หากนักมวยกระทำเช่นนั้น จะถูกตัดคะแนนหรือให้ออกจากการแข่งขัน ถ้าสนับฟันหลุดออกจากปากของนักมวยผู้ชี้ขาดจะต้องนำนักมวยไปยังมุมของเขา ให้ล่างสนับฟันแล้วให้นักมวยใส่ใหม่ ในระหว่างนั้นห้ามพี่เลี้ยงพูดกับนักมวยของเขา ถ้าสนับฟันร่วงออกจากปากสามครั้งไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม นักมวยจะถูกตำหนิโทษและถ้ายังเกิดกรณีเช่นนี้อีก นักมวยจะถูกตำหนิโทษเป็นครั้งที่สอง
3. กระจับ ( Cup Protectors ) ผู้แข่งขันต้องสวมกระจับ และอาจสวมกระจับหนังทับอีกก็ได้
4. เครื่องป้องกันศีรษะ ( Headguards ) เครื่องป้องกันศีรษะเป็นอุปกรณ์ส่วนตัวของนักมวยซึ่งมีความกระชับกับศีรษะของนักมวย อย่างไรก็ตาม ในการแข่งขันนานาชาติ โอลิมปิกเกมส์ การแข่งขันชิงถ้วยโลก การแข่งขันเพื่อความชนะเลิศโลก การแข่งขันเพื่อความชนะเลิศโลก(สำหรับนักมวยอายุต่ำกว่า 19 ปี) การแข่งขันในเครือจักรภพ หรือการแข่งขันใด ๆ ที่ A.I.B.A ให้การรับรอง นักมวยต้องสวมเครื่องป้องกันศีรษะสีแดง และน้ำเงินตามมุมของเขา ผู้แข่งขันต้องสวมเครื่องป้องกันศีรษะชนิดที่เป็นไปตามรูปแบบรายละเอียดที่ A.I.B.A กำหนด กรรมการบริหาร A.I.B.A ให้การรับรองเครื่องป้องกันศีรษะชนิดต่าง ๆ ตามที่คณะกรรมาธิการสวัสดิภาพและอุปกรณ์ให้คำสนับสนุน เงื่อนไขการทำสัญญาการค้ำประกันและการวางเงินประกันให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในกติกาข้อ 2 (ค) ย่อหน้า 2 นักมวยต้องเข้ามาในสังเวียนในสภาพที่สวมเครื่องป้องกันศีรษะแล้ว นักมวยต้องถอดเครื่องป้องกันศีรษะออกทันทีที่การแข่งขันสิ้นสุด และก่อนที่จะมีการประกาศผลการแข่งขัน
ข. ข้อที่ห้ามใช้ ( Prohibited Objects ) ห้ามสวมสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นเข้าแข่งขัน ห้ามใช้น้ำมันกรีส , วาสลิน , เครื่องทาหน้า หรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ ที่เป็นอันตรายหรือน่ารังเกียจแก่คู่แข่งขันทาหน้า แขน หรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย นักมวยต้องโกนหนวดเคราให้สะอาดเรียบร้อยในขณะเข้าตรวจร่างกายก่อนการชั่งน้ำหนัก ไม่อนุญาตให้ไว้เครา แต่ไว้หนวดได้บาง ๆ มีความยาวไม่เกินริมฝีปากบน
ค. การละเมิดเกี่ยวกับเครื่องแต่งกาย ( Dress Infractions ) ผู้ชี้ขาดจะไม่ให้นักมวยที่ไม่ใส่เครื่องป้องกันศีรษะ กระจับและสนับฟัน หรือแต่งกายไม่สะอาดถูกต้องออกจากการแข่งขัน ในกรณีที่นวมหรือเครื่องแต่งกายของนักมวยไม่เรียบร้อยในขณะแข่งขัน ผู้ชี้ขาดจะหยุดการแข่งขันเพื่อให้เรียบร้อย
ง. เครื่องแต่งกายของทีม ( Uniforms ) สหพันธ์มวยแห่งทวีป และองค์กรของภาคที่ส่งทีมผสมเข้าร่วมการแข่งขันนานาชาติ อาจจัดหาเครื่องแต่งกายสำหรับทีมที่ไม่ขัดต่อกติกาของ A.I.B.A ได้ สหพันธ์มวยแห่งทวีป และองค์กรของภาคไม่มีอำนาจบังคับให้ทีมของประเทศต่าง ๆ สวมเครื่องแต่งกายส่วนตัว ซึ่งอาจจะขัดต่อข้อตกลงของทีมประเทศนั้น ๆ อย่างไรก็ตามผู้แข่งขันเดี่ยวจากประเทศต่าง ๆ ที่มารวมกันเป็นทีมของภาคอาจถูกกำหนดให้สวมใส่เครื่องแต่งกายที่ภาคนั้น ๆ จัดหาให้
กติกาข้อ 5 " อุปกรณ์สังเวียน " ( RING EQUIPMENT )
ก. ข้อกำหนด ( Required ) จะต้องจัดให้มีอุปกรณ์สังเวียน ดังนี้
1. ถาดตื้น ๆ บรรจุยางสน 2 ถาด
2. ที่นั่ง 2 ที่ ชนิดที่เหวี่ยงไปมาได้
3. เหยือกน้ำพลาสติก 2 เหยือก สำหรับใช้ดื่ม และล้างปากเท่านั้น และหากไม่สามารถต่อท่อส่งน้ำมาที่สังเวียนให้จัดขวดน้ำพลาสติกพ่นฝอย 2 ขวด และขวดน้ำพลาสติกขนาดเล็ก 2 ขวด สำหรับดื่มไม่อนุญาตให้นักมวยหรือพี่เลี่ยงใช้ขวดน้ำชนิดอื่นในสังเวียน ถาดขี่เลื่อย 2 ถาด และถังน้ำ 2 ถัง
4. โต๊ะ และเก้าอี้สำหรับเจ้าหน้าที่
5. ฆ้อง ( พร้อมไม้ตี ) หรือระฆัง
6. นาฬิกาจับเวลาชนิดกดหยุดได้ 1 เรือน ( ควรให้มี 2 เรือน )
7. ใบบันทึกคะแนนตามแบบของ A.I.B.A
8. เครื่องปฐมพยาบาล 1 ชุด
9. ไมโครโฟน 1 ตัว ซึ่งต่อเข้ากับเครื่องขยายเสียง
10. นวม 2 คู่ ที่ทำจากโรงงานเดียวกัน และมีลักษณะตามที่ระบุในกติกาข้อ 2
11. เปลหามคนเจ็บ 1 ชุด
12. เครื่องป้องกันศีรษะ 2 อัน ( อันหนึ่งสำหรับมุมแดง และอีกอันหนึ่งสำหรับมุมน้ำเงิน )
กติกาข้อ 6 " การตรวจร่างกาย และชั่งน้ำหนัก สำหรับการแข่งขันนานาชาติ "( MEDICAL EXAMINATION AND WEIGH-IN FOR INTERNATIONAL COMPETITIONS )
ก. การตรวจร่างกาย ( Medical Examination )
1. ในเวลาของการชั่งน้ำหนักที่กำหนดไว้ผู้แข่งขันจะต้องได้รับการตรวจร่างกายจากแพทย์ที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการบริหารสหพันธ์มวย ฯ ว่าเป็นผู้มีสุขภาพสมบูรณ์เสียก่อนที่จะทำการชั่งน้ำหนัก คณะกรรมการบริหารสหพันธ์มวย ฯ อาจกำหนดให้ทำการตรวจร่างกายก่อนเวลาชั่งน้ำหนักที่กำหนดไว้ได้ ทั้งนี้เพื่อให้การชั่งน้ำหนักเป็นไปด้วยความราบรื่น
2. ในการตรวจร่างกายและชั่งน้ำหนักนี้นักมวยต้องนำสมุดประวัติการแข่งขันนานาชาติของเขาที่ลงนามโดยเลขาธิการหรือนายกสมาคม ฯ แห่งประเทศของเขามาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเพื่อกรอกรายการต่าง ๆ ที่จำเป็น ถ้านักมวยไม่นำสมุดประวัติของเขามาแสดงในขณะตรวจร่างกายและชั่งน้ำหนักเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการแข่งขัน
3. เพื่อให้ได้รับสิทธิ์ในการแข่งขัน นักมวยหญิงต้องแสดงสมุดประวัติการแข่งขันนานาชาติและจะต้องให้ข้อมูล ตอบคำถามของแพทย์ทุกข้อให้ดีที่สุด รวมทั้งยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรว่าไม่ได้ตั้งครรภ์อีกด้วยการแข่งขันที่มีทั้งนักมวยชาย และนักมวยหญิง ผู้จัดต้องแยกห้องตรวจร่างกาย และชั่งน้ำหนักของนักมวยชายและนักมวยหญิงออกจากกัน
แพทย์ที่ตรวจร่างกายนักมวยหญิงจะต้องทำการตรวจร่างกายให้เป็นไปตามข้อกำหนดเฉพาะที่ระบุไว้ในคู่มือของ A.I.B.A
ข. การจำแนกรุ่น ( Weight Classification )
1. รุ่นพินเวท ชาย - - กก. หญิง - 46 กก.
2. รุ่นไลท์ฟลายเวท ชาย - 48 กก. หญิง 46 - 48 กก.
3. รุ่นฟลายเวท ชาย 48 - 51 กก. หญิง 48 - 50 กก.
4. รุ่นไลท์แบนตั้มเวท ชาย - - หญิง 50 - 52 กก.
5. รุ่นแบนตั้มเวท ชาย 51 - 54 กก. หญิง 52 -54 กก.
6. รุ่นเฟเธอร์เวท ชาย 54 - 57 กก. หญิง 54 - 57 กก.
7. รุ่นไลท์เวท ชาย 57 - 60 กก. หญิง 57 - 60 กก.
8. รุ่นไลท์เวลเตอร์เวท ชาย 60 - 64 กก. หญิง 60 - 63 กก.
9. รุ่นเวลเตอร์เวท ชาย 64 - 69 กก. หญิง 63 - 66 กก.
10. รุ่นไลท์มิดเดิลเวท ชาย - - หญิง 66 -70 กก.
11. รุ่นมิดเดิลเวท ชาย 69 - 75 กก. หญิง 70 -75 กก.
12. รุ่นไลท์เฮฟวี่เวท ชาย 75 - 81 กก. หญิง 75 - 80 กก.
13. รุ่นเฮฟวี่เวท ชาย 81 - 91 กก. หญิง 80 - 86 กก.
14. รุ่นซูเปอร์ไลท์เฮฟวี่เวท ชาย 91+ กก. - - -
ชายรวม 11 รุ่น หญิงรวม 13 รุ่น
หมายเหตุ การชั่งน้ำหนักตัวในมวยสากลสมัครเล่นใช้ชั่งใน " ระบบเมตริก " เท่านั้น
ค. การชั่งน้ำหนัก ( Weigh - In )
1. การแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของโลก โอลิมปิกเกมส์ การแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของทวีป การแข่งขันเพื่อความชนะเลิศนานาชาติ การชั่งน้ำหนักให้เป็นไปตามระเบียบ ดังนี้
ก. ผู้แข่งขันทุกรุ่นต้องพร้อมที่จะชั่งน้ำหนักในตอนเช้าวันแรกของการแข่งขันในเวลาที่กำหนดระหว่างเวลา 08.00 น. - 10.00 น. สำหรับวันแข่งขันต่อไปเฉพาะนักมวยที่ทำการแข่งขันจะต้องมาทำการชั่งน้ำหนักในเวลาระหว่าง 08.00 น. - 09.00 น. คณะกรรมการบริหาร ฯ หรือผู้แทนของ A.I.B.A มีอำนาจที่จะขยายเวลาออกไปได้ถ้ามีเหตุสุดวิสัยทำให้ล่าช้า การแข่งขันจะต้องไม่เริ่มก่อน 3 ชั่วโมง ภายหลังจากสิ้นสุดเวลาการชั่งน้ำหนัก คณะกรรมการบริการ ฯ จะต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมาธิการแพทย์เสียก่อนว่าการแข่งขันครั้งนี้จะไม่ทำให้เกิดอันตรายแก่นักมวยที่แข่งขันในคู่ต้น ๆ
ข. เจ้าหน้าที่ที่ชั่งน้ำหนักต้องเป็นบุคคลที่ A.I.B.A แต่งตั้งขึ้นจากผู้แทนประเทศต่าง ๆ ผู้แทนของสมาคม ฯ 1 คน ที่ส่งนักมวยเข้าแข่งขันอาจเข้าดูการชั่งน้ำหนักได้ แต่จะเข้าไปรบกวนอย่างใดไม่ได้
ค. น้ำหนักที่ชั่งได้เป็นทางการในวันแรก ถือเป็นน้ำหนักของนักมวยตลอดการแข่งขัน แต่เขาจะต้องมาทำการชั่งน้ำหนักทุกวันที่เขามีการแข่งขัน เพื่อเป็นการยืนยันว่าน้ำหนักที่แท้จริงของเขาไม่เกินพิกัดในรุ่นของเขา ผู้แข่งขันต้องแข่งขันในรุ่นที่เขาได้ชั่งน้ำหนักเป็นทางการไว้เท่านั้น
ง. ในวันชั่งน้ำหนักแต่ละวัน อนุญาตให้ผู้แข่งขันชั่งน้ำหนักบนเครื่องชั่งที่เป็นทางการได้เพียงครั้งเดียว น้ำหนักที่ชั่งได้บนเครื่องชั่งนั้นถือเป็นเด็ดขาด อย่างไรก็ตาม อนุญาตให้ผู้แทนของชาติที่ผู้แข่งขันของเขาชั่งน้ำหนักเข้ารุ่นไม่ได้ในครั้งแรก บรรจุเข้ารุ่นที่สูงขึ้นหรือต่ำลงตามน้ำหนักของเขาได้ ถ้าในรุ่นนั้นไม่มีผู้แข่งขันจากชาติของเขาและเวลาของการชั่งน้ำหนักยังไม่สิ้นสุด นอกจากนี้ยังอนุญาตให้แต่ละชาติทำการเปลี่ยนตัวนักมวยสำรองได้ด้วย ถ้ายังไม่สิ้นสุดเวลาของการตรวจร่างกายและการชั่งน้ำหนักเป็นทางการในวันแรก ในการแข่งขันที่อนุญาตให้มีนักมวยสำรองได้นั้นจะต้องระบุไว้ว่านักมวยสำรองคนใดเป็นตัวสำรองสำหรับรุ่นใด
จ. น้ำหนักที่ปรากฏบนเครื่องชั่งต้องเป็นน้ำหนักที่ชั่งด้วยตัวเปล่า น้ำหนักที่ชั่งต้องเป็นมาตราเมตริก อาจใช้เครื่องชั่งไฟฟ้าก็ได้
2. การแข่งขันระหว่างประเทศ ( Inter - Nation Contests )
ก. ในกรณีที่มีการแข่งขันระหว่างสองประเทศ หรือมากกว่า เจ้าหน้าที่ชั่งน้ำหนักจะต้องเป็นผู้ที่สมาคมของประเทศที่จัดการแข่งขันแต่งตั้งและต้องมีผู้แทนของประเทศที่เข้าร่วมแข่งขันหรือเชิญผู้แทนจากประเทศต่าง ๆเป็นผู้ช่วยผู้แทนประเทศดังกล่าวมีสิทธิ์ตรวจสอบน้ำหนักของนักมวยแต่ละคนได้
ข. กรณีผู้แข่งขันน้ำหนักเกินรุ่น ถ้าน้ำหนักเกินรุ่นไม่เกิน 1 ปอนด์อังกฤษ ( 454 กรัม ) อนุญาตให้ทำการชกได้ แต่ผลการแข่งขันจะเป็นอย่างไรก็ตาม นักมวยที่น้ำหนักเกินรุ่นนั้นจะได้รับคะแนนของผู้แพ้สำหรับทีมของเขาและให้คู่แข่งขัน ( ที่ผ่านการตรวจร่างกายจากแพทย์ และชั่งน้ำหนักในวันนั้นแล้ว และปรากฏตัวบนสังเวียนในชุดแข่งขัน ) ได้รับคะแนนของผู้ชนะ ถ้านักมวยทั้งสองคนนั้นน้ำหนักเกินรุ่นให้ทั้งสองฝ่ายได้รับคะแนนของผู้แพ้ทีมของเขา ถ้าน้ำหนักของนักมวยเกินรุ่นไปมากกว่า 1 ปอนด์อังกฤษ ( 454 กรัม ) แต่ไม่เกิน 6 ปอนด์อังกฤษ ( 2.7 กิโลกรัม ) ผู้แทนของทีมคู่แข่งขันมีสิทธิ์ที่จะรับเข้าแข่งขันได้และต้องถือว่าทีมของนักมวยที่ชั่งน้ำหนักได้เป็นฝ่ายชนะ ผู้แข่งขันจะต้องได้รับการตรวจร่างกายจากแพทย์ที่ได้รับแต่งตั้งว่าเป็นผู้ที่มีสุขภาพสมบูรณ์เสียก่อนที่จะทำการชั่งน้ำหนัก
ค. ในการแข่งขันระหว่างประเทศหรือนานาชาติ การชั่งน้ำหนักของผู้แข่งขันอาจใช้เวลา 30 นาทีก็ได้ นักมวยที่มีน้ำหนักเกินพิกัด หรือไม่ปรากฏตัวภายในเวลาที่กำหนดจะถูกตัดสินให้เป็นผู้แพ้
ง. สมาคมของประเทศที่รับทีมเข้าแข่งขันจะต้องจัดเครื่องชั่ง และสถานที่ฝึกซ้อมให้ตามความประสงค์ของทีมตั้งแต่ทีมนั้นเดินทางมาถึงเมืองที่แข่งขัน
กติกาข้อ 7 " การจับสลาก และการบาย " ( DRAWS AND BYES )
ก. การจับสลาก ( The Draws ) การจับสลากต้องทำภายหลังการตรวจร่างกายและชั่งน้ำหนัก การจับสลากต้องกระทำต่อหน้าเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้แทนทีมที่เกี่ยวข้องและต้องมั่นใจว่าไม่มีนักมวยคนใดชกสองครั้งโดยที่นักมวยคนอื่นยังไม่ได้ชกเลยสักครั้งเดียว ในกรณีพิเศษคณะกรรมการบริหารของ A.I.B.A มีสิทธิ์ที่จะปฏิบัติให้ต่างไปจากกติกานี้ได้ การจับสลากจะต้องจับให้แก่นักมวยที่ชกในรอบแรกก่อนแล้วจึงจับให้นักมวยที่ได้บาย อย่างไรก็ตามนักมวยที่ไม่ได้ทำการชกเลยจะไม่ได้รับเหรียญรางวัลในการแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของโลก หรือ ทวีป หรือ โอลิมปิกเกมส์
ข. การบาย ( Byes ) ในการแข่งขันที่มีผู้เข้าแข่งขันมากกว่า 4 คน จะต้องจัดให้มีบายในรอบแรก เพื่อลดจำนวนผู้แข่งขันในรอบสองให้เป็น 4 , 8 , 16 หรือ 32 ผู้แข่งขันที่ได้บายในรอบแรกจะต้องชกก่อนในรอบสอง ถ้าจำนวนที่ได้บายในรอบแรกเป็นเลขคี่ นักมวยที่ได้บายคนสุดท้ายจะต้องแข่งขันในรอบสองกับผู้ชนะคู่แรกในรอบแรก ถ้าจำนวนที่ได้บายเป็นเลขคู่ นักมวยที่ได้บายจะต้องแข่งขันก่อนในรอบสองตามลำดับที่ตนจับสลากได้ ไม่มีการให้เหรียญรางวัลแก่นักมวยที่ไม่ได้ทำการชกแม้แต่ครั้งเดียว
ค. การจัดลำดับโปรแกรมการแข่งขัน ( Order of the Program ) ในการแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของโลก โอลิมปิกเกมส์และการแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของทวีป การจัดลำดับโปรแกรมการแข่งขันควรจัดตามลำดับรุ่นเท่าที่จะทำได้ โดยให้แต่ละรอบเริ่มจากรุ่นเบาที่สุดก่อนแล้วเรียงลำดับไปจนถึงรุ่นหนักที่สุด และในรอบต่อไปให้เริ่มจากรุ่นเบาที่สุดก่อนเป็นเช่นนี้เรื่อยไปทุกรอบในการจัดโปรแกรมการแข่งขันประจำวัน อนุญาตให้จัดตามที่เจ้าภาพต้องการได้ โดยจะต้องไม่ให้ขัดแย้งกับที่ได้จับสลากไว้แล้ว
กติกาข้อ 8 " จำนวนยก " ( ROUNDS )
ก. การแข่งขันระดับโลก โอลิมปิก และการแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของทวีปและการแข่งขันอื่น ๆ ในการแข่งขันระดับโลก โอลิมปิก หรือการแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของทวีปหรือการแข่งขันอื่น ๆ ให้มีการแข่งขัน 4 ยก ยกละ 2 นาที ( กติกาข้อนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 เป็นต้นไป ) การหยุดการแข่งขันเพื่อตำหนิโทษ เตือน จัดเครื่องแต่งกาย หรืออุปกรณ์ของนักมวยให้เรียบร้อยหรือด้วยเหตุอื่น ๆ ไม่นับรวมใน 2 นาที ดังกล่าว การพักระหว่างยกต้องให้ได้ 1 นาทีเต็ม ไม่อนุญาตให้มีการเพิ่มจำนวนยก
ข. การแข่งขันระหว่างประเทศ ในการแข่งขันระหว่างประเทศโดยปกติจำนวนยกจะเหมือนกับที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่ถ้าได้มีการตกลงกันไว้ก่อน อาจทำการแข่งขัน 3 ยก หรือ 4 ยก ยกละ 3 นาที หรือ 6 ยก ยกละ 2 นาที ก็ได้ การพักระหว่างยกใช้เวลา 1 นาที เสมอไป
กติกาข้อ 9 " พี่เลี้ยง " ( THE SECOND )
ก. กติกา ( Rules )
ผู้แข่งขันแต่ละคนให้มีพี่เลี้ยง 2 คน ซึ่งต้องปฏิบัติตามกติกาดังต่อไปนี้
1. เฉพาะพี่เลี้ยง 2 คน เท่านั้นที่ขึ้นไปบนสังเวียนได้ และให้เข้าไปภายในเชือกได้เพียง 1 คน
2. ในระหว่างการชก พี่เลี้ยงจะไปอยู่บนขอบสังเวียนไม่ได้ ก่อนเริ่มการแข่งขันแต่ละยกพี่เลี้ยงจะยกเก้าอี้นักมวย ผ้าเช็ดตัว ถังน้ำ ฯลฯ ออกไปให้พ้นจากขอบสังเวียน
3. พี่เลี้ยงขณะปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่มุมจะต้องมีผ้าเช็ดตัวและฟองน้ำสำหรับนักมวยของเขาพี่เลี้ยงอาจยอมแพ้แทนผู้แข่งขันได้ เมื่อเห็นว่านักมวยของเขาชกต่อไปไม่ไหว โดยการโยนฟองน้ำหรือผ้าเช็ดตัวเข้าไปในสังเวียน เว้นแต่ผู้ชี้ขาดกำลังนับ
4. ประธานคณะกรรมาธิการผู้ชี้ขาด / ผู้ตัดสิน ของแต่ละการแข่งขันจะจัดให้มีการประชุมร่วมกันระหว่างผู้ชี้ขาด / ผู้ตัดสิน และพี่เลี้ยงที่ทำหน้าที่ในการแข่งขันและเน้นให้ทราบว่าจะปฏิบัติตามกติกาของ A.I.B.A อย่างเคร่งครัด และนักมวยคนใดที่ไม่ปฏิบัติตามกติกานี้อาจไม่เพียงถูกตัดคะแนนเท่านั้น แต่อาจถูกตัดสินให้แพ้ด้วย
5. ห้ามพี่เลี้ยงแนะนำ ช่วยเหลือหรือส่งเสริมนักมวยของเขาในขณะที่กำลังทำการแข่งขัน ถ้าพี่เลี้ยงละเมิดกติกาอาจถูกตำหนิโทษ หรือให้ออกจากหน้าที่ นักมวยของเขาอาจถูกผู้ชี้ขาดเตือนตำหนิโทษหรือให้ออกจากการแข่งขันอันเนื่องมาจากการกระทำผิดของพี่เลี้ยงก็ได้พี่เลี้ยงหรือเจ้าหน้าที่ที่ยุยงส่งเสริมด้วยวาจาหรือกิริยาใด ๆ ให้คนดูแนะนำหรือสนับสนุนนักมวยในระหว่างที่การแข่งขันกำลังดำเนินอยู่จะต้องถูกห้ามไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่พี่เลี้ยงหรือเจ้าหน้าที่ต่อไปในการแข่งขันคราวนั้น ถ้าพี่เลี้ยงถูกผู้ชี้ขาดให้ออกจากหน้าที่เขาจะต้องไม่ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงอีกต่อไปในการแข่งขันช่วงนั้น เมื่อผู้ชี้ขาดสั่งให้ออกจากหน้าที่ดังกล่าวเขาจะต้องออกไปให้พ้นสนามแข่งขันตลอดเวลาของการแข่งขันที่เหลืออยู่ในช่วงนั้น ในช่วงของการแข่งขันตั้งแต่วันแรกถึงวันสุดท้าย ถ้าพี่เลี้ยงถูกให้ออกจากหน้าที่เป็นครั้งที่ 2 เขาจะถูกห้ามทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงอย่างถาวรตลอดการแข่งขัน
กติกาข้อ 10 " ผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสิน " ( REFEREES AND JUDGES )
ก. การแข่งขันเพื่อความชนะเลิศ ( Championships ) ในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ การแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของโลก การแข่งขันชิงถ้วยโลกและการแข่งขันแบบท้าชิงของ A.I.B.A การแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของทวีปและการแข่งขันเพื่อความชนะเลิศระดับนานาชาติอื่น ๆ ให้ผู้ชี้ขาดที่ A.I.B.A รับรองทำหน้าที่ควบคุมการแข่งขันในสังเวียนแต่ไม่ต้องให้คะแนน
ข. ผู้ตัดสิน ( Judges ) ในการแข่งขันแต่ละครั้งจะต้องมีผู้ตัดสิน A.I.B.A 5 คน ให้คะแนนโดยต้องนั่งแยกห่างออกจากประชาชนและชิดสังเวียน ผู้ตัดสิน 2 คน ต้องนั่งด้านเดียวกันของสังเวียนและนั่งห่างกันพอสมควร ส่วนผู้ตัดสินอีก 3 คน ให้แต่ละคนนั่งตรงกลางแต่ละด้านของสังเวียนที่เหลืออีก 3 ด้าน ถ้าผู้ตัดสินมีไม่เพียงพอ อาจใช้ผู้ตัดสิน 3 คนแทน 5 คนได้ แต่จะใช้ในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ การแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของโลก หรือการแข่งขันที่ชนะเลิศของทวีปไม่ได้
ในจำนวน 1 ชุด ของผู้ตัดสินที่ทำหน้าที่ในการแข่งขันนักมวยหญิงอาจประกอบด้วยผู้ตัดสินทั้ง ชายและหญิงก็ได้
ค. การแข่งขันระหว่างประเทศ ( International Matches ) ในการแข่งขันระหว่างประเทศที่มีทีมจากสมาคมแห่งชาติเข้าแข่งขัน 2 ชาติ หรือมากกว่า ผู้แทนแต่ละชาติอาจตกลงกันกำหนด ระเบียบปลีกย่อยขึ้นเพื่อให้การแข่งขันโดยแต่ข้อกำหนดนั้นจะต้องไม่ละเมิดหลักการเบื้องต้นที่ A.I.B.A ได้วางไว้
ง. การปฏิบัติเพื่อความเป็นกลาง ( Neutrality ) เพื่อให้เกิดความเป็นกลางในการแข่งขันแต่ละครั้งคณะกรรมาธิการผู้ชี้ขาด / ผู้ตัดสินจะเป็นผู้เลือก ผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสินทั้ง 5 คน โดยวิธีการดังนี้
1. ผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสินเหล่านั้นต้องเป็นเจ้าหน้าที่ ซึ่งผ่านการรับรองแล้ว
2. ผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสินเหล่านั้นต้องไม่เป็นชาติและสมาคมเดียวกันและต้องไม่เป็นชาติและสมาคมเดียวกันกับนักมวยที่เข้าแข่งขันด้วย
3. ผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสินเหล่านั้นจะต้องมิใช่ผู้มีสัญชาติหรืออาศัยอยู่ในประเทศที่เป็นประเทศราช อาณานิคม หรือเมืองขึ้นของนักมวยที่เข้าแข่งขัน
4. ผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสินคนใดที่เปลี่ยนที่อยู่จะต้องไม่ปฏิบัติหน้าที่ในคู่แข่งขันที่มีนักมวยคนใดคนหนึ่งเป็นคนของประเทศชาติเดิมของตนหรือมีผู้ชี้ขาดหรือผู้ตัดสินของประเทศนั้นปฏิบัติหน้าที่อยู่แล้ว
5. ไม่อนุญาตให้ผู้ชี้ขาดหรือผู้ตัดสินมาจากทวีปเดียวกันทำหน้าที่ร่วมกันในการแข่งขันแต่ละครั้งเกินกว่า 2 คน
6. การกำหนดตัวผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสินในการแข่งขันทุกรายการจะกระทำโดยการจับสลากโดยคณะกรรมาธิการผู้ชี้ขาด / ผู้ตัดสิน ณ สังเวียน ก่อนการแข่งขัน
7. ในกรณีที่คณะกรรมาธิการผู้ชี้ขาด / ผู้ตัดสิน ไม่อาจปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดข้างบนได้ก็อาจเลือกผู้ที่เห็นว่ามีความเป็นกลางและยุติธรรมที่สุดเข้าทำหน้าที่และจะต้องรายงานให้คณะกรรมการบริหารทราบโดยด่วน
8. ในกรณีที่ คณะกรรมาธิการผู้ชี้ขาด / ผู้ตัดสิน เห็นว่าไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ยังไม่สามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดข้างบนได้ ให้ประธานคณะกรรมาธิการผู้ชี้ขาด / ผู้ตัดสิน หรือผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนเป็นผู้จับสลากรายชื่อผู้ชี้ขาดหรือผู้ตัดสินให้ปฏิบัติหน้าที่ในคู่แข่งขันที่มีปัญหานั้น
จ. ความคัดแย้งกันทางด้านผลประโยชน์ ( Conflict of Interest ) ผู้ที่ทำหน้าที่ผู้ชี้ขาดหรือผู้ตัดสินในการแข่งขันจะต้องไม่ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีม ผู้ฝึกสอน พี่เลี้ยง ให้แก่นักมวยหรือทีมของนักมวยที่เข้าร่วมแข่งขันในครั้งนั้น หรือปฏิบัติหน้าที่ในคู่แข่งขันมีสัญชาติเดียวกับตนเอง
ฉ. การปฏิบัติทางวินัย ( Disciplinary Action ) คณะกรรมการบริหาร หรือผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจอาจจำหน่ายผู้ชี้ขาดหรือผู้ตัดสินออกจากบัญชี ( เป็นการชั่วคราวหรือถาวร ) เมื่อคณะลูกขุนให้ความเห็นเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ชี้ขาดคนใดว่าไม่มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกติกาของ A.I.B.A หรือเห็นว่าการให้คะแนนของผู้ตัดสินคนใดไม่เป็นที่พอใจ
ช. การจัดผู้ชี้ขาดเข้าทำหน้าที่แทน ( Replacing The Referee During The Bout ) ถ้าผู้ชี้ขาดไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ในคู่แข่งขันที่กำลังดำเนินอยู่ ผู้รักษาเวลาต้องตีระฆังเพื่อหยุดการแข่งขันและให้ผู้ชี้ขาดที่เป็นกลางคนต่อไปตามบัญชีที่จัดไว้ขึ้นทำหน้าที่ควบคุมการแข่งขันและดำเนินการแข่งขันต่อไป
ซ. เครื่องมือในการให้คะแนน ( Machanical Scoring Devices ) ในการแข่งขันเพื่อชนะเลิศของโลก โอลิมปิกเกมส์ การแข่งขันแบบท้าชิงของ A.I.B.A และการแข่งขันนานาชาติให้ใช้เครื่องมือให้คะแนนด้วยไฟฟ้า
ฌ. ข้อผูกพัน ( Obligation of Attendance ) ผู้ชี้ขาด / ผู้ตัดสินของสมาคมใดที่ได้รับเลือกจากคณะกรรมการบริหารฯ แล้วสมาคมฯ นั้นต้องส่งผู้ชี้ขาด / ผู้ตัดสินไปปฏิบัติหน้าที่ในการแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของโลก โอลิมปิกเกมส์ หรือการแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของทวีปเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่เขารับเลือกมา เว้นแต่บุคคลนั้นจะปฏิเสธการเชิญเป็นการส่วนตัว ด้วยเหตุผลที่เพียงพอ ถ้าหากมีองค์กรใดรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แก่ทีมนักกีฬาโอลิมปิกหรือการแข่งขันที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันองค์กรนั้นจะต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับค่าเดินทางและค่าที่พักให้แก่ ผู้ชี้ขาด / ผู้ตัดสิน ที่ได้รับเลือกไปปฏิบัติหน้าที่ในการแข่งขันนั้นด้วย
กติกาข้อ 11"คุณสมบัติในการเข้าเป็นและดำรงตำแหน่งในบัญชีของผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสินนานาชาติ"(QUALIFYING FOR ADMISSION TO AND MAINTENANCE OF THE INTERNATIONAL LIST OF REFEREES AND JUDGES )
ก. ผู้ชี้ขาด / ผู้ตัดสินนานาชาติ และผู้ตัดสินนานาชาติ ( International Referee / Judges and International Judges ) ตำแหน่งผู้ชี้ขาด / ผู้ตัดสินนานาชาติ หรือผู้ตัดสินนานาชาติเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติสูงสุดสำหรับผู้ชี้ขาด / ผู้ตัดสินของกีฬามวยสากลสมัครเล่น ผู้ที่ได้รับการบรรจุให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวในบัญชีนานาชาติจะได้รับประกาศนียบัตรชั้นสูงของการได้เป็นผู้ชี้ขาด และ / หรือ ผู้ตัดสินนานาชาติและตราของ A.I.B.A ตามตำแหน่งที่ได้รับพร้อมบัตรประจำตัว
ข. ผู้สมัครเพื่อขอเข้าบัญชีผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสินนานาชาติ ( Candidate for Admission to the International List of A.I.B.A Referees and Judges )
1. จะต้องถูกเสนอโดยสมาคมแห่งประเทศของผู้สมัครและได้รับการรับรองจากสหพันธ์ของทวีปของผู้สมัคร
2. เขาจะต้องมีชื่อในบัญชีของสหพันธ์ของทวีปมาแล้วอย่างน้อย 2 ปี และประสบความสำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่ผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสินเป็นอย่างดี
3. จะต้องมีใบรับรองแพทย์ที่รับรองตรวจสุขภาพครบทุกรายการตามที่คณะกรรมการสหพันธ์ของ A.I.B.A กำหนดและลงนามโดยแพทย์ของสมาคมมวยแห่งประเทศเพื่อรับรองว่าเป็นผู้มีร่างกายสมบูรณ์เหมาะสมที่จะปฏิบัติหน้าที่ผู้ชี้ขาด และ / หรือผู้ตัดสิน ข้อห้ามต่าง ๆ เกี่ยวกับผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสินระบุอยู่ในคู่มือแพทย์
4. ในแต่ละสมาคมฯ จะมีชื่อขึ้นบัญชีเกิน 12 คนไม่ได้ ( ถ้าหากมีความจำเป็น สมาคมฯ ต้องถอนชื่อบุคคลในบัญชีออกเพื่อรักษาจำนวนไม่ให้เกินกว่าที่กติกากำหนดไว้ )
5. จะต้องมีหลักฐานแสดงประสบการณ์ที่ผ่านมา รวมทั้งการได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่งใดในช่วงก่อน 2 ปีที่ผ่านมา
6. มีความสามารถในการพูดเป็นอย่างดีในภาษาที่เป็นทางการของ A.I.B.A หนึ่งภาษา
ค. การดำรงตำแหน่งในบัญชีนานาชาติ ( Maintenance of the International List ) เพื่อรักษาไว้และปรับปรุงคุณภาพของการชี้ขาดและการตัดสิน เพื่อความแน่นอนในการตีความของกติกาสำหรับการแข่งขันระหว่างประเทศและเพื่อคัดเลือกผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสินใหม่เข้าในบัญชีนานาชาติ คณะกรรมาธิการ ผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสินจะจัดการอบรมและทดสอบในลักษณะดังต่อไปนี้
1. สมาคมแห่งประเทศหนึ่งหรือหลายประเทศอาจร้องขอไปยังสำนักงาน A.I.B.A ให้จัดอบรมหรือทดสอบเจ้าหน้าที่ ณ ที่ใด ๆ ในโลกได้ ทั้งนี้ ต้องผ่านการเห็นชอบจากสหพันธ์ของทวีปที่เกี่ยวข้องเสียก่อน
2. การดำเนินการหรือทดสอบให้ดำเนินการโดยบุคคล 2 คน ที่มีชื่ออยู่ในบัญชีนานาชาติ A.I.B.A และเป็นกรรมการของคณะกรรมการบริหารฯ หรือคณะกรรมาธิการ ผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสินหรือสหพันธ์แห่งทวีปซึ่งได้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการบริหารฯแล้ว และถ้าเป็นไปได้ผู้แทนของสมาคมแห่งประเทศที่เกี่ยวข้องแต่ละประเทศต้องช่วยเหลือในการจัดอบรมและทดสอบด้วย ในการทดสอบแต่ละครั้งจะต้องมีผู้แทนอย่างน้อย 1 คน จากคณะกรรมการบริหาร ฯ เป็นกรรมการทดสอบ
คณะกรรมาธิการผู้ชี้ขาด / ผู้ตัดสิน แนะนำว่าในการทดสอบทุกครั้ง ต้องดำเนินการโดยคณะกรรมการบริหารซึ่งหนึ่งคนต้องเป็นกรรมการของคณะกรรมาธิการผู้ชี้ขาด / ผู้ตัดสิน ผู้ทำการทดสอบทั้งสองคนนี้ต้องมีชื่ออยู่ในบัญชีนานาชาติด้วย
ก. การทดสอบเพื่อเข้าบัญชีนานาชาติของ A.I.B.A และบัญชีของทวีปจะต้องดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่จากทวีปที่เกี่ยวข้องเท่านั้น หากมีการยกเว้นประธานของ A.I.B.A อาจมอบให้กรรมการของคณะกรรมการบริหาร ฯ จากทวีปอื่นมาทำการทดสอบได้ ผู้สมัครต้องสอบข้อเขียน สัมภาษณ์ และภาคปฏิบัติให้ผ่านเสียก่อน จึงจะได้รับการบรรจุเข้าบัญชีนานาชาติ
ข. เอกสารการทดสอบและผลการทดสอบต่าง ๆ จะต้องเก็บรักษาไว้ที่สหพันธ์ของทวีปที่เกี่ยวข้อง
1. ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับที่พักและการเดินทางของกรรมการทั้ง 2 คน ที่มาทำการทดสอบจะต้องจ่ายโดยสมาคมหนึ่ง หรือหลายสมาคมฯ ที่จัดการอบรมและทดสอบนั้น
2. คณะกรรมาธิการ ผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสิน จะต้องเสนอ ผลการอบรม หรือทดสอบ ไปยังที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร A.I.B.A ครั้งต่อไปเพื่อพิจารณาอนุมัติ คำตัดสินของคณะกรรมการบริหารฯ จะถูกแจ้งไปยังสมาคมฯ และสหพันธ์ของทวีป ที่เกี่ยวข้องเพื่อทราบต่อไป
3. อย่างน้อย 1 ครั้ง ทุก ๆ 4 ปี คณะกรรมาธิการผู้ชี้ขาด และผู้ตัดสินจะทำการตรวจสอบความเหมาะสมของผู้ชี้ขาด / ผู้ตัดสินนานาชาติที่อยู่ในบัญชีนานาชาติ ผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสินที่ไม่สามารถสอบผ่านข้อทดสอบที่จัดขึ้น ทุก 4 ปี ดังกล่าว จะต้องทำการทดสอบใหม่ให้ผ่านจากผู้ทดสอบที่มีคุณสมบัติถูกต้อง จึงจะได้รับการคืนสภาพเป็นผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสินของ A.I.B.A
4. ผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสิน ที่ขาดคุณสมบัติที่ระบุไว้ตามตำแหน่งผู้ชี้ขาด / ผู้ตัดสินนานาชาติ จะถูกตัดชื่อออกจากบัญชีนานาชาติ
5. ผู้ชี้ขาด/ ผู้ตัดสินนานาชาติที่มีอายุถึง 60 ปี ต้องรับการตรวจประจำปีว่าเป็นผู้มีร่างกายและประสาทที่สมบูรณ์
6. ผู้ชี้ขาด / ผู้ตัดสิน A.I.B.A แบ่งเป็น 3 เกรด คือ เอ , บี และซี การแบ่งเกรด จะกระทำโดย คณะกรรมการบริหารฯ ตามข้อเสนอของคณะกรรมาธิการผู้ชี้ขาด/ ผู้ตัดสิน ซึ่งได้หารือกับสมาคมแห่งชาติและสหพันธ์ของทวีปแล้ว
7. สมาคมแห่งชาติทุกสมาคมฯ ต้องส่งรายชื่อของผู้ที่จะสอบคุณสมบัติ ผู้ทำการทดสอบ และข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆไปให้ประธานของ A.I.B.A และประธานคณะกรรมาธิการผู้ชี้ขาด/ ผู้ตัดสิน ข้อมูลเหล่านี้ จะส่งถึงสำนักงาน A.I.B.A อย่างน้อย 8 สัปดาห์ ก่อนวันทำการทดสอบ
ฉ. กรรมวิธีในการอบรมและทดสอบ ( Procedure ) คณะกรรมาธิการผู้ชี้ขาด/ ผู้ตัดสิน ร่วมกับเลขาธิการสหพันธ์ฯ ดำเนินการตามกรรมวิธีในการอบรม หรือทดสอบดังต่อไปนี้
1. ถ้าสมาคมฯ หนึ่งหรือหลายสมาคมประสงค์จะส่งผู้สมัครสอบ สมาคมฯ นั้นจะได้รับแบบฟอร์มสำหรับผู้สมัครกรอกข้อความแล้วส่งให้แก่กรรมการ ที่มาทดสอบ
2. ระหว่างที่มีการแข่งขันระดับนานาชาติทุกครั้งที่ A.I.B.A ให้การรับรองประเทศเจ้าภาพจะต้องจัดให้มีการอบรมและทดสอบผู้สมัครสอบเป็นผู้ชี้ขาด/ผู้ตัดสินนานาชาติ ในระหว่างที่กำลังดำเนินการ อบรมหรือทดสอบผู้ชี้ขาด/ ผู้ตัดสินนานาชาติ ที่ถูกทดสอบคุณสมบัติ หรือผู้สมัครเข้าในบัญชีนานาชาติ ต้องปฏิบัติหน้าที่ผู้ชี้ขาดหรือผู้ตัดสินไม่น้อยกว่า 5 คู่ ที่ทำการแข่งขันโดยสมบูรณ์ กรรมการที่มาทำการทดสอบจากคณะกรรมาธิการผู้ชี้ขาด / ผู้ตัดสิน หรือจากคณะกรรมการบริหารฯ จากสหพันธ์ของทวีปจะต้องให้คะแนนในคู่แข่งขันเหล่านี้เพื่อเปรียบเทียบกับผู้สมัครสอบ
3. กรรมการที่มาทดสอบจะทำการสอบสัมภาษณ์ด้วยเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ชี้ขาด / ผู้ตัดสินที่ถูกสอบคุณสมบัติยังคงจำกติกาได้ และผู้สมัครสอบเข้าบัญชีนานาชาติได้ศึกษา และเข้าใจกติกาของ A.I.B.A และคำแนะนำที่เกี่ยวกับการชี้ขาด และการตัดสินที่ A.I.B.A ออกไว้และยังปฏิบัติตามอยู่
4. กรรมการที่มาให้การอบรม หรือทดสอบจะต้องตัดสินว่า ผู้สมัครคนใดมีคุณสมบัติตามตำแหน่งผู้ชี้ขาด/ ผู้ตัดสินนานาชาติ กรรมการที่ทดสอบจะต้องเขียนรายงานพร้อมลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน กรรมการแต่ละคนมีสิทธิ์จะรายงานความคิดเห็นส่วนตัวได้ รายงานจะต้องส่งไปยังคณะกรรมาธิการผู้ชี้ขาด/ ผู้ตัดสิน
จ. ผู้ชี้ขาดและ/หรือผู้ตัดสินกิตติมศักดิ์ ( Honorary Referee and / or Judges ) คณะกรรมการบริหารฯ อาจจะให้เกียรติตลอดชีพแก่เจ้าหน้าที่นานาชาติ ผู้ซึ่งได้เกษียณอายุไปแล้ว และเป็นบุคคลที่แสดงความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดียิ่งโดยมอบตำแหน่ง " ผู้ชี้ขาด / หรือผู้ตัดสินกิตติมศักดิ์ของมวยสากลสมัครเล่น " ให้เป็นเกียรติ
ฉ. กติกาข้อ 11. นี้ สามารถนำไปใช้เพื่อขึ้นทะเบียนในบัญชีผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสินหญิงในระดับนานาชาติและระดับทวีปได้ด้วยเช่นกัน
กติกาข้อ 12 " คณะลูกขุน " ( THE JURY )
ก. การแต่งตั้ง ( Appointment ) ในระหว่างการแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของโลกและโอลิมปิกเกมส์ คณะกรรมการบริหารฯ จะปฏิบัติหน้าที่เป็นคณะลูกขุน สำหรับการแข่งขันเพื่อชนะเลิศของทวีป คณะกรรมการบริหารของสมาคมของทวีป ให้สหพันธ์ของทวีปที่เกี่ยวข้องเป็นผู้แต่งตั้งคณะลูกขุน ในการแข่งขันแต่ละช่วง ( ยกเว้นรอบชิงชนะเลิศ ) คณะลูกขุนต้องมีไม่น้อยกว่า 3 คน และไม่เกิน 5 คน รวมทั้งปฏิบัติหน้าที่ประธานลูกขุนด้วย คณะลูกขุน 2 คน ต้องเป็นกรรมการของคณะกรรมการผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสิน ในระหว่างการแข่งขันไม่ให้ผู้ที่มิได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นคณะลูกขุนไปนั่งที่ของคณะลูกขุน การจัดคณะลูกขุนให้หมุนเวียนกันปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละช่วงของการแข่งขันจะต้องกระทำให้เรียบร้อยก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้นโดยประธานของ A.I.B.A หรือในกรณีที่ประธานไม่อยู่ให้ตัวแทนเป็นผู้กำหนดลูกขุนคนใดประสงค์จะเปลี่ยนแปลงการทำหน้าที่จะต้องได้รับคำยินยอมเสียก่อนจากประธานฯ หรือตัวแทนเป็นผู้ให้คำยินยอมให้กรรมการของคณะกรรมการบริหารฯ ทุกคนปฏิบัติหน้าที่เป็นคณะลูกขุนในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ กรรมการของคณะกรรมการบริหารฯ ที่มีชื่อในบัญชีผู้ชี้ขาดนานาชาติร่วมกับกรรมการของคณะกรรมาธิการผู้ชี้ขาด / ผู้ตัดสินประกอบกันเข้าเป็นคณะกรรมการลูกขุน ที่มีสิทธิในการโหวตเสียง
ข. หน้าที่ของคณะลูกขุน ( Duties )
1. กรรมการของคณะลูกขุนแต่ละคนต้องให้คะแนนการแข่งขันแต่ละคู่ และคะแนนเหล่านี้จะถูกนำมาเปรียบเทียบกับคะแนนของผู้ตัดสินในคู่นั้น
2. กรรมการลูกขุนจะต้องตรวจสอบบัตรให้คะแนนของผู้ตัดสินทั้ง 5 คน เพื่อให้แน่ใจว่า
2.1 การรวมคะแนนเป็นไปอย่างถูกต้อง
2.2 ชื่อของนักมวยเป็นไปอย่างถูกต้อง
2.3 ระบุตัวผู้ชนะถูกต้อง
ง. ได้ลงลายมือชื่อในบัตรให้คะแนนแล้ว และต้องตรวจสอบคำตัดสินจากบัตรให้คะแนน หรือจากเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ จากเครื่องบันทึกคะแนน ประธานคณะลูกขุนหรือผู้ปฏิบัติหน้าที่คณะลูกขุนจะต้องแจ้งชื่อนักมวยที่เป็นผู้ชนะตามเสียงข้างมากของบัตรให้คะแนน 5 ฉบับให้โฆษกเพื่อประกาศให้ผู้ชมทราบต่อไป
3. คณะลูกขุนปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละช่วงจะต้องพบกันในเช้าวันรุ่งขึ้นเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสินในวันที่ผ่านมา
4. คณะลูกขุนต้องรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรให้คณะกรรมการบริหารของ A.I.B.A ทราบในกรณีที่ผู้ชี้ขาดหรือผู้ตัดสินคนใดไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามกติกาของ A.I.B.A และผู้ตัดสินคนใดให้คะแนนการแข่งขันไม่เป็นที่พอใจ
5. คณะลูกขุนต้องเสนอเอกสารต่อคณะกรรมการบริหารของ A.I.B.A หรือคณะกรรมการบริหารของสมาคมแห่งทวีปหรือในกรณีไม่มีสมาคมแห่งทวีปให้ยื่นต่อคณะกรรมการของภาคที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอต่อไปยังกรรมาธิการผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสินตามที่เห็นสมควร
6. คณะลูกขุนต้องแจ้งคณะกรรมการบริหารฯ ว่าผู้ชี้ขาดหรือผู้ตัดสินนานาชาติที่ได้รับแต่งตั้งจากสมาคมของเขาและได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ในการแข่งขัน โอลิมปิกเกมส์ หรือ การแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของโลก หรือ การแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของทวีป ไม่ไปปฏิบัติหน้าที่โดยไม่แจ้งให้เลขาธิการฯ ทราบล่วงหน้าถึงการไม่มาของเขาและด้วยเหตุผลอันสมควร
7. ถ้าเจ้าหน้าที่ได้รับการแต่งตั้งแล้วไม่มา คณะลูกขุนอาจแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ที่เหมาะสมเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการรับรองแล้วขึ้นแทน แล้วรายงานการเปลี่ยนแปลงให้คณะกรรมการบริหารฯ หรือสหพันธ์ของทวีปที่เกี่ยวข้องทราบโดยด่วนที่สุด
8. ในกรณีที่สถานการณ์ขัดข้องต่อการดำเนินการแข่งขันจนผู้ชี้ขาดไม่อาจปฏิบัติหน้าที่อันเนื่องจากเหตุการณ์นั้น คณะลูกขุนอาจสั่งให้หยุดการแข่งขันจนกว่าสถานการณ์จะกลับคืนเป็นปกติ
9. คณะลูกขุนหรือผู้ปฏิบัติหน้าที่คณะลูกขุนอาจปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งโดยฉับพลันเมื่อพิจารณาเห็นว่ามีความจำเป็นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอันเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการแข่งขันทุกระยะ
10. ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่คณะลูกขุนจะต้องปรึกษาคณะกรรมาธิการผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสินเกี่ยวกับเรื่องใด ๆ ก็ตามที่จำเป็นต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งลงไป
11. กมวยที่เจตนากระทำความผิดอย่างร้ายแรงอันขัดต่อความผู้มีน้ำใจนักกีฬา คณะลูกขุนมีอำนาจที่จะเสนอความผิดของเขาครั้งนั้นต่อคณะกรรมการบริหารฯเพื่อประกาศให้นักมวยคนนั้นหมดสิทธิ์ในการแข่งขันเป็นระยะเวลาหนึ่ง และคณะกรรมการบริหารฯ อาจตัดสิทธิไม่ให้เขาได้รับเหรียญรางวัล ซึ่งเขามีสิทธิ์จะได้รับจากการแข่งขันครั้งนั้น
12. คณะลูกขุนต้องไม่ปฏิบัติหน้าที่ในคู่มวยที่มีนักมวยจากประเทศของเขาแข่งขัน
ค. การใช้อำนาจเหนือผู้ชี้ขาด และ/หรือผู้ตัดสิน ( Overruling the Referee and/or Judges ) คำตัดสินของผู้ชี้ขาด และ/หรือผู้ตัดสินอาจถูกคณะลูกขุนลบล้างได้ในกรณีต่อไปนี้
1. เมื่อผู้ชี้ขาดให้คำตัดสินค้านกับบทบัญญัติและกติกาของ A.I.B.A อย่างชัดเจน ( ในการพิจารณาดังกล่าวคณะลูกขุนอาจใช้ วีดีโอเทปช่วยได้ )
2. เมื่อเป็นที่แน่ชัดว่า ผู้ตัดสินมากกว่า 1 คน ทำผิดพลาดในบัตรให้คะแนนอันมีผลทำให้คำตัดสินผิดไป
ง. การประท้วง ( Protests ) การประท้วงให้จัดการทำโดยผู้จัดการทีมในเวลาไม่เกิน 30 นาที หลังจากการแข่งขันนั้นสิ้นสุดลง การประท้วงต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษรยื่นต่อประธานคณะลูกขุนพร้อมวางเงินประท้วง 100 เหรียญสหรัฐ
จ. ความขัดแย้งกันทางด้านผลประโยชน์ ( Conflict of interest ) คณะกรรมการลูกขุนที่ปฏิบัติหน้าที่ในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ การแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของโลก การแข่งขันเพื่อชิงถ้วยโลก การแข่งขันแบบท้าชิงของ A.I.B.A และการแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของทวีป จะต้องไม่ทำหน้าที่ผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสินในการแข่งขันดังกล่าวนั้น
ฉ. การปฏิบัติเพื่อความเป็นกลาง ( Neutrality ) คณะกรรมการลูกขุนในการแข่งขันระดับนานาชาติจะต้องมาจากประเทศที่แตกต่างกัน
กติกาข้อ 13 " ผู้ชี้ขาด " ( THE REFEREE )
ก. ความรับผิดชอบลำดับแรก ( Primary Concern ) การระมัดระวังดูแลเอาใจใส่นักมวยเป็นหน้าที่สำคัญลำดับแรกของผู้ชี้ขาด
ข. หน้าที่ของผู้ชี้ขาด ( Duties ) ผู้ชี้ขาดที่จะปฏิบัติหน้าที่ในสังเวียนเขาจะต้องแต่งกายด้วยกางเกงขายาวสีขาว เสื้อเชิ้ตสีขาว และรองเท้าหุ้มส้นหรือหุ้มข้อชนิดเบาที่ไม่มีส้น ผูกหูกระต่าย ( สีดำ ) แต่ถ้าอากาศอบอ้าวอาจไม่ต้องผูกหูกระต่ายก็ได้ ถ้าประธานคณะลูกขุน หรือประธานคณะกรรมการผู้ชี้ขาด / ผู้ตัดสินให้ความเห็นชอบ ผู้ชี้ขาดอาจสวมถุงมือผ่าตัดขณะปฏิบัติหน้าที่ได้
ผู้ชี้ขาดต้อง
1. รักษากติกาและความเป็นธรรมอย่างเคร่งครัด
2. ควบคุมการแข่งขันทุกระยะโดยตลอด
3. ป้องกันนักมวยที่อ่อนแอกว่าไม่ให้ได้รับความบอบซ้ำเกินควรโดยไม่จำเป็น
4. ตรวจนวมและเครื่องแต่งกายของนักมวย
5. ผู้ชี้ขาดต้องใช้คำสั่ง 3 คำคือ
ก. " STOP " เมื่อสั่งให้นักมวยหยุดชก
ข. " BOX " เมื่อสั่งให้นักมวยชก
ค. " BREAK " เมื่อให้นักมวยแยกจากการกอดรัด คำสั่งนี้นักมวยทั้งสองจะต้องถอยหลังออกมาก่อน 1 ก้าว แล้วจึงชกต่อไป
6. ผู้ชี้ขาดต้องแสดงสัญญาณหรือท่าทางที่เหมาะสมให้นักมวยที่ละเมิดกติกาทราบถึงความผิดของเขา
7. เมื่อสิ้นสุดการแข่งขันต้องรวบรวมบัตรให้คะแนนของผู้ตัดสินทั้ง 5 คน และตรวจสอบ แล้วจึงส่งให้ประธานลูกขุนหรือถ้าไม่มีคณะลูกขุนส่งให้โฆษก
8. ผู้ชี้ขาดจะต้องไม่ชี้ตัวผู้ชนะโดยชูมือนักมวยหรือด้วยประการใด ๆ จนกว่าจะได้มีการประกาศแล้ว เมื่อผู้ชนะถูกประกาศชื่อ ผู้ชี้ขาดต้องชูมือนักมวยผู้ชนะขึ้น
9. เมื่อผู้ชี้ขาดปรับนักมวยเป็นแพ้หรือยุติการชก เขาต้องแจ้งประธานคณะลูกขุนก่อนว่าได้ปรับนักมวยคนใดแพ้ หรือเหตุผลที่ให้ยุติการชก เพื่อประธานฯ จะได้แจ้งให้โฆษกประกาศให้ประชาชนทราบอย่างถูกต้อง
ค. อำนาจของผู้ชี้ขาด ( Power of the Referee ) ผู้ชี้ขาดมีอำนาจ
1. ยุติการแข่งขันเมื่อเห็นว่า นักมวยฝ่ายหนึ่งชกอยู่ข้างเดียว
2. ยุติการแข่งขันเมื่อเห็นว่า นักมวยบาดเจ็บจนไม่สามารถจะชกต่อไปได้
3. ยุติการแข่งขันเมื่อเห็นว่า นักมวยไม่แข่งขันกันโดยจริงจังในกรณีเช่นนี้อาจให้นักมวยคนใดหรือทั้งสองออกจากการแข่งขันได้
4. เตือนนักมวยหรือหยุดการชกเพื่อตำหนิโทษนักมวยที่กระทำฟาล์ว หรือด้วยเหตุอื่นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม หรือเพื่อความแน่นอนในการปฏิบัติไปตามกติกา
5. ให้นักมวยที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งโดยฉับพลันหรือทำร้ายหรือก้าวร้าวผู้ชี้ขาดออกจากการแข่งขัน
6. ให้พี่เลี้ยงที่ละเมิดกติกาออกจากหน้าที่ และให้นักมวยออกจากการแข่งขัน ถ้าพี่เลี้ยงไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้ชี้ขาด
7. ให้ผู้แข่งขันที่กระทำฟาล์วออกจากการแข่งขันโดยได้ตำหนิโทษ หรือยังไม่ได้ตำหนิโทษผู้แข่งขันนั้นมาก่อนก็ตาม
8. หยุดนับในการล้ม ถ้านักมวยเจตนาไม่ไป หรือทำชักช้าที่ไปยังมุมกลาง
9. ตีความในกติกาที่ใช้บังคับตามข้อเท็จจริงหรือตัดสินและปฏิบัติการใด ๆ ในข้อที่ไม่มีกติกาบัญญัติไว้
ง. การตำหนิโทษ ( Warnings ) ถ้านักมวยละเมิดกติกา แต่ความผิดนั้นไม่ถึงขั้นให้ออกจากการแข่งขัน ผู้ชี้ขาดต้องหยุดการชกและตำหนิโทษผู้ละเมิดกติกานั้น ในการตำหนิโทษ ผู้ชี้ขาดต้องสั่งให้นักมวยหยุดชกเสียก่อน การตำหนิโทษต้องกระทำอย่างชัดแจ้ง เพื่อให้นักมวยเข้าใจเหตุและความมุ่งหมายของการตำหนิโทษนั้นผู้ชี้ขาดจะต้องให้สัญญาณมือแก่ผู้ตัดสินทุกคนว่า
จ. การเตือน ( Coutions ) ผู้ชี้ขาดอาจเตือนนักมวยได้ การเตือนเป็นการแนะนำหรือให้นักมวยระมัดระวังหรือป้องกันไม่ให้นักมวยกระทำในสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ที่เป็นการละเมิดกติกาที่ไม่รุ่นแรงนัก ในการเตือนนี้ไม่จำเป็นต้องหยุดการชก แต่อาจหาโอกาสที่เหมาะสมเตือนนักมวยที่กระทำผิดกติกาในระหว่างการแข่งขันนั้นก็ได้
ฉ. การตรวจร่างกายผู้ชี้ขาด ( Medical Considerations ) ก่อนการปฏิบัติหน้าที่ในการแข่งขันนานาชาติภายใต้กติกานี้ ผู้ชี้ขาดต้องได้รับการตรวจร่างกายว่า มีร่างกายสมบูรณ์พอที่จะปฏิบัติหน้าที่ในสังเวียนได้ ผู้ชี้ขาดต้องมีสายตาแต่ละข้างอย่างน้อย 6 ไดออพเตอร์ ห้ามผู้ชี้ขาดสวมแว่นตาในขณะปฏิบัติหน้าที่ในการแข่งขัน แต่อนุญาตให้ใช้เลนซ์ผนึก ( คอนแท็คเลนซ์ ) ได้ และก่อนการแข่งขันแต่ละครั้ง ผู้ชี้ขาดต้องเข้าร่วมประชุมที่คณะลูกขุนแพทย์จัดขึ้น
กติกาข้อ 14 " ผู้ตัดสิน " ( JUDGES )
ก. การแต่งกาย ( Attire ) ผู้ตัดสินต้องแต่งกายสีขาวในขณะปฏิบัติหน้าที่ และอาจสวมเสื้อ แจ็กเก็ตที่เหมาะสมทับอีกชั้นหนึ่งก็ได้ เมื่อได้รับอนุญาต
ข. หน้าที่ของผู้ตัดสิน ( Duties )
1. ผู้ตัดสินแต่ละคนต้องตัดสินการชกของคู่แข่งขันโดยอิสระและต้องตัดสินไปตามกติกาว่าผู้ใดเป็นผู้ชนะ
2. ผู้ตัดสินต้องไม่พูดกับผู้แข่งขัน กับผู้ตัดสินด้วยกัน และกับบุคคลอื่น ยกเว้นผู้ชี้ขาดในระหว่างที่การแข่งขันกำลังดำเนินอยู่ แต่ถ้ามีความจำเป็นในตอนหยุดพักระหว่างยกเขาอาจแจ้งให้ผู้ชี้ขาดทราบว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้น เช่นพี่เลี้ยงประพฤติผิดมารยาท เชือกหย่อน ฯลฯ ซึ่งผู้ชี้ขาดอาจไม่เห็นในขณะนั้น
3. ผู้ตัดสินต้องให้คะแนนแก่ผู้แข่งขันทั้งสองลงในบัตรบันทึกคะแนนทันทีที่สิ้นสุดการแข่งขันแต่ละยก ถ้าไม่ได้ใช้เครื่องมือในการบันทึกคะแนน
4. ถ้าไม่มีการให้คะแนนด้วยเครื่องมือบันทึกคะแนน เมื่อการแข่งขันสิ้นสุดลง ผู้ตัดสินต้องรวมคะแนนระบุตัวผู้ชนะและลงลายมือชื่อลงในบัตรบันทึกคะแนน คำตัดสินของผู้ตัดสินต้องประกาศให้ผู้ชมทราบ
5. ผู้ตัดสินต้องไม่ลุกจากที่นั่งให้คะแนนจนกว่าจะประกาศผลการตัดสินให้ผู้ชมทราบแล้ว
กติกาข้อ 15 " ผู้รักษาเวลา " ( THE TIMEKEEPER )
ก. หน้าที่ผู้รักษาเวลา ( Duties )
1. หน้าที่สำคัญของผู้รักษาเวลา คือรักษาจำนวนยก เวลาของยก และหยุดเวลาพักระหว่างยก เวลาพักระหว่างยกต้องครบ 1 นาทีเต็ม
2. ห้าวินาทีก่อนเริ่มการแข่งขันแต่ละยก ผู้รักษาเวลาต้องให้สังเวียนว่าง โดยใช้คำสั่งว่า " ออกนอกสังเวียน หรือพี่เลี้ยงออก "
3. ผู้รักษาเวลาต้องให้สัญญาณเริ่มยกและหมดยกด้วยการตีฆ้องหรือระฆัง
4. ผู้รักษาเวลาต้องประกาศว่า เป็นยกที่เท่าใด โดยเร็วก่อนให้สัญญาณเริ่มยก
5. ผู้รักษาเวลาต้องหักเวลาออกสำหรับการหยุดชั่วคราวหรือเมื่อผู้ชี้ขาดสั่งให้หยุดเวลา
6. ผู้รักษาเวลาต้องรักษาเวลาทุกระยะตลอดจนการนับให้ถูกต้องด้วยนาฬิกาหรือนาฬิกาตั้ง
7. เมื่อนักมวย " ล้ม " ผู้รักษาเวลาต้องให้สัญญาณที่เป็นเสียงแก่ผู้ชี้ขาดตามวินาทีที่ผ่านไปขณะที่ผู้ชี้ขาดกำลังนับ
8. ตอนปลายยก ถ้านักมวยล้ม และผู้ชี้ขาดกำลังนับ เมื่อเวลาได้เดินไปหมดยกแล้ว ต้องไม่ตีระฆังและให้ตีระฆังเมื่อผู้ชี้ขาดให้คำสั่งว่า " Box " อย่างไรก็ตามวิธีการดังกล่าวไม่นำไปใช้กับยกสุดท้ายในรอบชิงชนะเลิศของการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ การแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของโลก การแข่งขันชิงถ้วยโลก การแข่งขันแบบท้าชิงของ A.I.B.A การแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของทวีป และการแข่งขันระดับนานาชาติ
ข. ที่นั่งของผู้รักษาเวลา ( Position ) เมื่อผู้รักษาเวลาต้องนั่งอยู่ที่ข้างสังเวียน
กติกาข้อ 16 " การตัดสิน " ( DECISIONS )
ก. ชนิดของการตัดสิน ( Types ) มีดังนี้
1. ชนะโดยคะแนน ( Win by points ) เมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน นักมวยที่ได้รับการตัดสินโดยเสียงข้างมากของผู้ตัดสินเป็นผู้ชนะถ้านักมวยทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บหรือถูกนับสิบพร้อมกันและไม่สามารถแข่งขันต่อไปได้ผู้ตัดสินต้องรวมคะแนนที่นักมวยแต่ละคนได้ไว้จนถึงเวลาที่การชกได้หยุดลง นักมวยที่ได้คะแนนมากกว่าเป็นผู้ชนะ
2. ชนะโดยถอนตัว ( Win by Retirement ) ถ้านักมวยถอนตัวออกจากการแข่งขันด้วยความสมัครใจ อันเนื่องมาจากการบาดเจ็บหรือเหตุอื่นหรือไม่อาจแข่งขันต่อไปได้ทันทีภายหลังจากการหยุดพักระหว่างยก ให้คู่แข่งขันของเขาเป็นผู้ชนะ
3. ชนะโดยผู้ชี้ขาดสั่งยุติการแข่งขัน ( Win by Referee stopping contest )
ก. ฝีมือด้อยกว่ากันมาก ( Outclassed ) คำว่า R.S.C. เป็นคำที่ใช้สำหรับยุติการแข่งขันเมื่อนักมวยคนหนึ่งฝีมือด้วยกว่ามาก หรือร่างกายมีสภาพไม่สมบูรณ์พอที่จะแข่งขันต่อไปได้ ถ้าผู้ชี้ขาดเห็นว่านักมวยคนหนึ่งฝีมือด้วยกว่ามากหรือถูกชกมากเกินไปต้องยุติการชกและให้คู่แข่งขันเป็นผู้ชนะ
ข. บาดเจ็บ ( Injury )
1. ถ้าผู้ชี้ขาดเห็นว่านักมวยคนหนึ่งมีสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์พอที่จะแข่งขันต่อไปได้ เนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากการชกอย่างถูกต้องหรือด้วยเหตุทางร่างกายอื่น ๆ ต้องยุติการชกและให้คู่แข่งขันเป็นผู้ชนะ การตัดสินให้เป็นไปตามที่กล่าวนี้เป็นสิทธิของผู้ชี้ขาดที่อาจจะหารือแพทย์ก็ได้ เมื่อได้หารือแพทย์แล้วผู้ชี้ขาดต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ขอเสนอแนะว่าผู้ชี้ขาดจะต้องตรวจนักมวยอีกคนหนึ่งว่าได้รับบาดเจ็บด้วยหรือไม่ ก่อนที่จะทำการชี้ขาดแพทย์สนามมีสิทธิในการขอให้ยุติการชก ถ้าคิดว่ามีเหตุผลทางการแพทย์เพียงพอที่จะไม่อนุญาตให้การแข่งขันดำเนินต่อไป สิ่งแรกที่แพทย์สนามต้องทำคือ แจ้งให้ประธานคณะลูกขุนทราบและแจ้งให้ผู้ชี้ขาดยุติการชกเพื่อให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายแพทย์ตรวจสภาพร่างกายของนักมวยว่ามีความสมบูรณ์หรือไม่โดยใช้เวลาไม่เกิน 1 นาที ( เจ้าหน้าที่ฝ่ายแพทย์ หมายถึง ประธานคณะลูกขุนของแพทย์ หรือแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ในคู่แข่งขันนั้น )
2. ในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศของการแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของ A.I.B.A หรือ โอลิมปิก การแข่งขันระดับนานาชาติ หรือการแข่งขันแบบครั้งเดียว หากการบาดเจ็บเกิดขึ้นหลังจากยกที่ 1 ผ่านไปแล้ว ผู้ตัดสินต้องรวมคะแนนที่นักมวยทำได้จนถึงเวลาที่เกิดการบาดเจ็บนั้น นักมวยที่ได้คะแนนรวมมากกว่าเป็นผู้ชนะ หากการบาดเจ็บเกิดขึ้นในยกที่ 1 ของการแข่งขัน นักมวยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บจะเป็นผู้ชนะ ในการแข่งขันแบบครั้งเดียว ถ้าเกิดการบาดเจ็บขึ้นในยกที่ 1 ผลการแข่งขันอาจให้เสมอกันได้
3. เมื่อผู้ชี้ขาดเรียกแพทย์ขึ้นมาตรวจนักมวย จะมีเฉพาะแพทย์และผู้ชี้ขาดเท่านั้นที่อยู่บนสังเวียน ห้ามพี่เลี้ยงเข้ามาในสังเวียนหรือขึ้นมาบนขอบสังเวียน
4. เมื่อคะแนนของนักมวยจากเครื่องคอมพิวเตอร์ ต่างกันถึง 20 คะแนน ประธานคณะลูกขุนภายหลังที่ได้หารือกับคณะลูกขุนเห็นว่าควรยุติการแข่งขันเพื่อป้องกันนักมวยฝ่ายหนึ่งไม่ให้ถูกชกมากเกินไป ประธานคณะลูกขุนสามารถยุติการชกโดยตีระฆังหรือวีธีการอื่นใดแล้วแจ้งผู้ชี้ขาดให้ทราบ ผลการแข่งขันให้นักมวยชนะโดย R.S.C. Over Score Card ( กรณีนักมวยเยาวชน คะแนนของนักมวยจากเครื่องคอมพิวเตอร์ ต่างกันถึง 15 คะแนน ให้ผลการแข่งขันให้นักมวยชนะโดย R.S.C. Over Score Card )
4. ชนะโดยให้ออกจากการแข่งขัน ( Win by Disqualification ) ถ้านักมวยถูกสั่งให้ออกจากการแข่งขัน คู่ แข่งขันของเขาจะเป็นผู้ชนะ แต่ถ้านักมวยทั้ง 2 ฝ่ายถูกสั่งให้ออกจากการแข่งขันต้องประกาศการตัดสินไปตามนั้น นักมวยที่ถูกสั่งให้ออกจากการแข่งขันจะไม่ได้รับรางวัล เหรียญรางวัล ถ้วยรางวัล รางวัลเกียรติยศ หรืออันดับในการแข่งขันครั้งนั้น หากจะมีการยกเว้น ให้คณะกรรมการบริหาร ( หรือถ้าคณะกรรมการบริหารฯ ไม่อยู่ให้คณะลูกขุนหรือผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นลูกขุน และถ้าไม่มีคณะลูกขุนให้ผู้ที่รับผิดชอบในการดำเนินการแข่งขันในคู่นั้น ) เป็นผู้ตัดสินเป็นอย่างอื่นได้ แต่ถ้าการตัดสินนั้นมิได้กระทำโดยคณะกรรมการบริหารฯ ก็ให้มีการทบทวนและยืนยันการตัดสินโดยคณะกรรมการบริหารฯ อีกครั้งหนึ่งเมื่อได้รับรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น หากจำเป็น
5. ชนะโดยน๊อคเอ้าท์ ( Win by Knock - out ) ถ้านักมวย " ล้ม " และไม่สามารถชกต่อไปได้ภายใน 10 วินาที ให้คู่แข่งขันเป็นผู้ชนะโดยน๊อคเอ้าท์
6. ชนะโดย RSC - H ( Win by RSC - H ) ถ้านักมวยฝ่ายหนึ่งมีสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์พอที่จะแข่งขันต่อไปได้เนื่องจากถูกชกที่ศีรษะอย่างแรงหลายหมัดให้นักมวยอีกฝ่ายหนึ่งชนะโดย RSC - H
7. ไม่มีการแข่งขัน ( No Contest ) ผู้ชี้ขาดอาจสั่งให้ยุติการแข่งขันเมื่อเกิดเหตุการณ์นอกเหนือความรับผิดชอบของนักมวยหรือการควบคุมของผู้ชี้ขาด เช่นสังเวียนชำรุด ไฟฟ้าเสีย สภาวะอากาศผิดปกติ ฯลฯ ในกรณีดังกล่าวจะต้องประกาศว่า " ไม่มีการแข่งขัน " และในกรณีที่เป็นการแข่งขันเพื่อความ ชนะเลิศ คณะลูกขุนจะต้องตัดสินใจว่าให้ทำอย่างไรต่อไป
8. ชนะโดยได้ผ่าน ( Win by Walk - Over ) นักมวยคนหนึ่งปรากฏตัวในสังเวียนด้วยชุดแข่งขันเรียบร้อยแล้ว แต่คู่แข่งขันไม่มาปรากฏตัวหลังจากได้ประกาศชื่อนักมวยผู้นั้นแล้ว ให้ตีระฆังและเวลาได้ผ่านไปครบ 3 นาทีแล้ว ผู้ชี้ขาดให้นักมวยมาปรากฏตัวเป็นผู้ชนะผ่าน ผู้ชี้ขาดจะต้องแจ้งแก่ผู้ตัดสินทุกคนให้บันทึกผลลงในบัตรลงคะแนน และเรียกนักมวยมาที่กลางสังเวียน ชูมือนักมวยขึ้นหลังจากประกาศคำตัดสินแล้ว
9. เสมอกัน ( Draw ) เฉพาะการแข่งขันแบบแข่งครั้งเดียว ในการแข่งขันระหว่างสองสโมสรหรือสองประเทศเพื่อมิตรภาพ อาจตกลงให้มีการเสมอกันได้เมื่อคะแนนเสียงข้างมากของผู้ตัดสินให้เสมอกันนอกจากนี้ถ้าเกิดบาดเจ็บขึ้นในยกที่ 1 อาจตัดสินให้เสมอกันได้ เช่นกัน
11. กรณีเกิดเหตุการณ์ในสังเวียนที่นอกเหนือจากการควบคุมของผู้ชี้ขาด
ก. ถ้ามีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น จนไม่สามารถทำให้การแข่งขันดำเนินต่อไปได้ภายใน 1 นาที แรกยกที่ 1 หรือยกที่ 2 ( เช่น ไฟฟ้าบกพร่อง ) ต้องยุติการแข่งขัน และนักมวยคู่นั้นจะต้องชกใหม่ เป็นคู่สุดท้ายของโปรแกรมการแข่งขันในวันนั้น
ข. ถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้นในยกที่ 3 การแข่งขันจะต้องยุติและให้ผู้ตัดสินบันทึกผลการให้คะแนน ให้เรียบร้อย และตัดสินว่าผู้ใดเป็นผู้ชนะ
ค. ถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วง 3 คู่ สุดท้ายของโปรแกรมการแข่งขัน ให้ยกคู่มวยที่เหลือทั้ง 3 ไป ทำการแข่งขันเป็นคู่แรกของโปรแกรม การแข่งขันช่วงถัดไป
นักมวยเหล่านั้นจะต้องไปทำการตรวจร่างกายและชั่งน้ำหนักในวันที่จะทำการแข่งขันใหม่ด้วย
กติกาข้อ 17 " การให้คะแนน " ( AWARDING OF POINTS )
ก. หลักเกณฑ์การให้คะแนน ( Dircectives ) การให้คะแนนต้องให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังนี้ 1. เกี่ยวกับการชก ( Concerning Hits ) ก. การชกที่ได้คะแนน ( Scoring Hits ) ผู้ตัดสินต้องคิดคะแนนให้แก่นักมวยแต่ละคนตามจำนวนของการชก การชกที่ถือว่าได้คะแนนต้องชกด้วยสันนวมตรงไปถูกตรงด้านหน้าหรือด้านข้างของศีรษะหรือลำตัวเหนือแนวเข็มขัดโดยปราศจากการป้องกันจากคู่แข่งขัน การใช้หมัดเหวี่ยงถูกที่บริเวณดังกล่าวข้างต้นถือว่าได้คะแนน คะแนนการชกในการเข้าคลุกวงในกันนั้นต้องให้แก่นักมวยที่ชกแลกหมัดได้ดีกว่าเมื่อสิ้นสุดการชกวงในกันนั้น ข. การชกที่ไม่ได้คะแนน ( Non - Scoring Hits ) การชกของนักมวยที่ไม่ได้คะแนนมีดังนี้ 1. ชกในขณะที่ละเมิดกติกาข้อใดข้อหนึ่ง หรือ 2. ชกด้วยข้างนวม สันนวม ด้านในของนวม หรือแบนวม หรือชกด้วยส่วนอื่นของนวมที่ไม่ใช่สันนวมที่กำอยู่ หรือ 3. ชกถูกแขนคู่แข่งขัน หรือ 4. เพียงแต่ชกถูกแต่ไม่มีน้ำหนักส่งจากร่างกายหรือไหล่ 2. เกี่ยวกับการฟาล์ว (Concerning Fouls ) ก. กรณีผู้ชี้ขาดตำหนิโทษ ( Referee Warning ) ถ้าผู้ชี้ขาดตำหนิโทษนักมวยคนหนึ่ง ผู้ตัดสินอาจให้คะแนนนักมวยอีกคนหนึ่งได้ เมื่อผู้ตัดสินจะให้คะแนนแก่นักมวยที่คู่แข่งขันของเขา กระทำฟาล์วซึ่งผู้ชี้ขาดตำหนิโทษ ผู้ตัดสินต้องใส่ " W " ในช่องที่แบ่งไว้ทางด้านนักมวยที่ถูกตำหนิโทษ เพื่อแสดงว่าเขาได้กระทำเช่นนั้น ถ้าผู้ตัดสินไม่ให้คะแนนดังกล่าวต้องใส่ " X " ในช่องที่แบ่งไว้ สำหรับยกนั้นทางด้านนักมวยที่ถูกตำหนิโทษ พร้อมทั้งให้เหตุผลที่ไม่เห็นด้วยกับการตำหนิโทษของผู้ชี้ขาด ข. กรณีอื่น ๆ ( Others ) ในระหว่างการชกแต่ละยก ผู้ตัดสินจะต้องประเมินดูความรุนแรงของการฟาล์วและตัดคะแนนในการกระทำฟาล์วไปตามความเหมาะสม แม้ผู้ชี้ขาดจะเห็นหรือไม่ก็ตาม ถ้าผู้ตัดสินเห็นการฟาล์วอย่างชัดแจ้ง โดยผู้ชี้ขาดไม่ได้สังเกตเห็น และผู้ตัดสินจะตัดคะแนนนักมวยที่กระทำผิดนั้น ผู้ตัดสินจะต้องแสดงให้เห็นว่านักมวยได้กระทำเช่นนั้น โดยใส่ " J " ลงไปในช่องที่แบ่งไว้ทางด้านนักมวยที่กระทำผิดพร้อมทั้งระบุไว้ด้วยว่าทำผิดด้วยเหตุใด 3. เกี่ยวกับการให้คะแนน ( Concerning the Awarding of points ) ก. เมื่อสิ้นสุดแต่ละยก ( End of Each Round ) แต่ละยกมี 20 คะแนน ไม่มีการให้คะแนนเป็นเศษส่วน เมื่อสิ้นสุดแต่ละยก นักมวยที่ดีกว่า(มีทักษะมากกว่า) จะได้ 20 คะแนน และคู่แข่งขัน จะได้คะแนนลดลงไปตามส่วน ถ้านักมวยทั้งสองฝ่ายชกได้ดีเท่ากัน ให้คะแนนคนละ 20 คะแนน ข. เกณฑ์การให้คะแนน ( Points determination ) การคิดคะแนนให้เป็นไปตามเกณฑ์ดังนี้คือ 1 คะแนน สำหรับหมัดที่ชกถูกต้อง 3 หมัด 1 คะแนน สำหรับการตำหนิโทษ โดยผู้ชี้ขาด และผู้ตัดสิน ถ้าจำนวนหมัดที่ชกได้ต่างไปจาก 3 , 6, 9, 12. ฯลฯ ให้ถือตารางต่อไปนี้เป็นเกณฑ์การคิดคะแนน จำนวนหมัด 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14………. คะแนนที่ได้ 0 1 1 1 2 2 2 3 3 3 4 4 4 5……….. ค. เมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน ( End of Tournament Contest ) เมื่อการแข่งขันสิ้นสุดลงถ้าได้ให้คะแนนแต่ละยกตามเกณฑ์ข้อ 1 และ 2 แล้ว ผู้ตัดสินพบว่าคะแนนของนักมวยทั้งสองฝ่ายเท่ากัน จะต้องพิจารณาตัดสินผลการแข่งขันให้แก่นักมวยที่ 1. เป็นฝ่ายรุกมากที่สุด หรือมีแบบการชกที่ดีกว่า ถ้าพิจารณาตามลำดับดังกล่าวแล้วยังเท่ากันอีก ให้พิจารณา 2. เป็นผู้ป้องกันดีกว่า ( การปิดป้อง การหลบ การฉาก ฯลฯ ) จนคู่แข่งขันทำอะไรไม่ได้ 3. ในการแข่งขันจะต้องมีการประกาศผู้ชนะในการแข่งขันแบบแข่งครั้งเดียว อาจประกาศผลเป็นเสมอกันได้ ง. การชกคู่แข่งขันล้ม ( Knock - Downs ) ไม่มีคะแนนพิเศษสำหรับการชกให้คู่แข่งขันล้ม 4. การใช้เครื่องให้คะแนนด้วยไฟฟ้า ( Use of Electronic scoring Machine ) 1. ถ้ามีการใช้เครื่องให้คะแนนด้วยไฟฟ้า จะต้องให้คะแนนดังนี้ ก. ในการใช้เครื่องให้คะแนนด้วยไฟฟ้านี้ คะแนนในการตัดสินจะเป็นคะแนนที่ได้จากหมัดที่ชกถูกต้อง และข้อมูลอื่น ๆ ที่ผู้ตัดสินแต่ละคนบันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์ โดยการกดปุ่มบันทึกข้อมูลของแต่ละคน ข. หมัดที่ชกถูกต้องและข้อมูลอื่น ๆ ที่ถูกบันทึกไว้จะถูกคำนวณออกมาเป็นผลขั้นสุดท้ายโดยอัตโนมัติ โดยคิดเฉพาะหมัดที่ผู้ตัดสินอย่างน้อย 3 ใน 5 คน บันทึกลงในเครื่องพร้อม ๆ กัน เป็นหลักในการตัดสินผลการแข่งขัน ค. ในการใช้เครื่องไฟฟ้าให้คะแนนนักมวยที่ถูกตำหนิโทษจะถูกตัด 2 คะแนน ( มีค่าเท่ากับ 2 หมัด ) ง. ผู้ชนะโดยคะแนนจะถูกตัดสินจากผลรวมทั้งหมดของจำนวนหมัดที่ถูกต้องในการชกทุกยก จำนวนหมัดจะไม่ถูกแปลงเป็นคะแนน ผู้ที่มีจำนวนหมัด ที่ชกได้ถูกต้องมากกว่าจะเป็นผู้ชนะ จ. นอกเหนือจากผลขั้นสุดท้ายที่ได้จากคะแนนร่วมของผู้ตัดสินแล้ว ( จำนวนหมัดทั้งหมด ที่ถูกบันทึกไว้พร้อมกันโดยผู้ตัดสินอย่างน้อย 3 คน ) คะแนนส่วนตัวของผู้ตัดสิน 5 คน จะถูกเก็บไว้ ถ้าการชกสิ้นสุดลง นักมวยทั้งสองฝ่ายมีจำนวนหมัดที่ได้จากคะแนนร่วมของผู้ตัดสินเท่ากัน จะต้องนำคะแนนส่วนตัวของผู้ตัดสินมาตัดสินโดยตัดคะแนนของผู้ตัดสินที่ให้ไว้สูงสุดและต่ำสุดออก นักมวยที่มีจำนวนหมัดสูงจากคะแนนส่วนตัวของผู้ตัดสินที่เหลืออยู่จะเป็นผู้ชนะ แต่ถ้ายังเท่ากันอีกผู้ตัดสินทั้ง 5 คน จะต้องตัดสินโดยใช้กติกาข้อ 17.3 ค. โดยกดปุ่มบันทึกของแต่ละคน 2. ในกรณีที่ใช้เครื่องให้คะแนนด้วยไฟฟ้า จะไม่มีการเก็บใบให้คะแนน ข้อมูลทั้งหมดที่นำมาใช้ในการตัดสินจะถูกบันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์และเมื่อสิ้นสุดการแข่งขันผลการแข่งขันจะถูกพิมพ์ออกมาโดยอัตโนมัติ 3. ถ้าเครื่องให้คะแนนขัดข้องจะต้องปฏิบัติตามกรรมวิธี ดังนี้ ก. ประธานคณะลูกขุนจะยุติการแข่งขัน 1 นาที ถ้าระหว่างการยุติการแข่งขันนั้นยังไม่สามารถซ่อมเครื่องให้ใช้การได้ ให้ทำการแข่งขันต่อไป และให้คณะลูกขุน 5 คน เป็นผู้ให้คะแนนเพื่อตัดสินการแข่งขัน ตามกติกาข้อ 12 ( คณะลูกขุน ) ข. 1 ข. ถ้าไม่สามารถซ่อมเครื่องให้คะแนนได้ คณะลูกขุนสามารถตัดสินใจให้นำกติกาข้อ 17.1,2 และ 3 มาใช้ในการตัดสินสำหรับมวยคู่ต่อไป 4. ในการแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของ A.I.B.A. และโอลิมปิกเกมส์ เครื่องให้คะแนนด้วยไฟฟ้าต้อง ถูกควบคุมโดยบุคคลที่ A.I.B.A. คัดเลือกมา
กติกาข้อ 18 " ฟาล์ว " ( FOULS )
ก. การเตือน การตำหนิโทษ การให้ออกจากการแข่งขัน ( Cautions , Warning , Disqualification ) ผู้แข่งขันที่ไม่เชื่อฟังคำแนะนำของผู้ชี้ขาด ปฏิบัติฝ่าฝืนกติกา ชกอย่างไม่ใช่วิสัยนักกีฬา หรือกระทำฟาล์ว ผู้ชี้ขาดสามารถเตือน ตำหนิโทษ หรือสั่งให้ออกจากการแข่งขันโดยมิต้องตำหนิโทษก็ได้ ผู้ชี้ขาดอาจเตือนนักมวยในโอกาศที่เหมาะสมโดยไม่ต้องหยุดการแข่งขันก็ได้ ในกรณีที่ผู้ชี้ขาดต้องการตำหนิโทษนักมวยผู้ชี้ขาดต้องหยุดการแข่งขันและสาธิตความผิดนั้น แล้วชี้ตัวนักมวยและชี้ไปที่ผู้ตัดสินแต่ละคนจนครบ 5 คน ผู้ชี้ขาดที่ได้ตำหนิโทษนักมวย ที่กระทำฟาล์วอย่างใดอย่างหนึ่ง ครั้งหนึ่งแล้ว เช่น ฟาล์วจากการจับรั้ง จะเตือนนักมวยที่กระทำผิด ในลักษณะเดียวกันนั้นอีกไม่ได้ การเตือนสำหรับการฟาล์วในครั้งที่ 3 จะต้องตำหนิโทษนักมวย ในการแข่งขันครั้งหนึ่ง ๆ ให้ตำหนิโทษนักมวยคนหนึ่งได้เพียง 3 ครั้งเท่านั้น การตำหนิโทษครั้งที่ 3 จะต้องให้นักมวยที่ถูกตำหนิโทษนั้นออกจากการแข่งขันโดยอัตโนมัติ
ข. ชนิดของการฟาล์ว ( Type of Fouls) ต่อไปนี้เป็นการฟาล์ว
1. ชกใต้เข็มขัด กอด ขัดขา เตะ ถีบด้วยเท้าหรือตีเข่า
2. ชกหรือกระแทกด้วยศีรษะ ไหล่ ปลายแขน ศอก ค้ำคอผู้แข่งขัน กอดด้วยแขน หรือศอกที่ใบหน้าคู่แข่งขัน กดศีรษะ ผู้แข่งขันหงายหลังข้ามเชือก
3. ชกแบนวม ชกด้วยด้านในของนวม ข้อมือ หรือข้างมือ
4. ชกถูกด้านหลังคู่แข่งขัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งชกถูกด้านหลังของคอ ท้ายทอย และบริเวณไต
5. ชกหมัดกลับ
6. ชกขณะที่จับเชือก หรือใช้เชือกโดยไม่เป็นธรรม
7. ยืนทับ ปล้ำ และเหวี่ยงในระยะประชิต
8. ชกคู่แข่งขันที่ล้มอยู่ หรือกำลังลุกขึ้น
9. จับรั้ง
10. จับชกหรือดึงชก
11. จับหรือหนีบแขน หรือศีรษะคู่แข่งขัน หรือดันแขนเข้าไป ใต้แขนคู่แข่งขัน
12. หลบต่ำกว่าระดับเข็มขัด ของคู่แข่งขัน ในลักษณะที่เป็นอันตรายต่อคู่แข่งขัน
13. ใช้แขนทั้งสองยกขึ้นปิดป้อง อย่างเดียวตลอดเวลาโดยไม่มีการชกตอบ และเจตนาล้ม หรือหันหลังให้เพื่อไม่ให้ชกถูก
14. แสดงกิริยาก้าวร้าว หรือกระทำความโมโหในระหว่างแข่งขัน
15. ไม่ถอยหลังเมื่อถูกสั่งให้แยก
16. พยายามชกคู่แข่งขันทันทีโดยยังไม่ทันถอยหลัง เมื่อผู้ชี้ขาดสั่ง " BREAK "
17. ทำร้ายหรือแสดงอาการใด ๆ ที่เป็นการก้าวร้าวผู้ชี้ขาด
18. บ้วนสนับฟันยางทิ้ง
19. เหยียดแขนตรงไปข้างหน้า เพื่อบังสายตาคู่แข่งขัน
ค. พี่เลี้ยง ( Seconds ) นักมวยแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบต่อพี่เลี้ยงของตนในทำนองเดียวกันกับตนเอง
ง. ผู้ชี้ขาดปรึกษาผู้ตัดสิน (Referee Consults Judges ) ถ้าผู้ชี้ขาดมีความเชื่อว่าได้มีการฟาล์วเกิดขึ้น ซึ่งเขามองไม่เห็น เขาอาจปรึกษาผู้ตัดสินได้
กติกาข้อ 19 " ล้ม " ( DOWN)
ก. คำจำกัดความ ( Definition ) นักมวยถือว่า " ล้ม " ก็ต่อเมื่อ
1. ถ้าส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายนอกจากเท้าถูกพื้นอันเป็นผลจากการถูกชกด้วยหมัดใดหมัดหนึ่งหรือหมัดชุด หรือ
2. ถ้ายืนแขวนอยู่บนเชือกในลักษณะที่ไม่สามารถช่วยตนเองได้อันเป็นผลจากการชกด้วยหมัดใดหมัดหนึ่งหรือหมัดชุด หรือ
3. ถ้าร่างกายออกไปนอกเชือกทั่งตัวหรือบางส่วนอันเป็นผลจากการชกด้วยหมัดใดหมัดหนึ่ง หรือหมัดชุด หรือ
4. ถ้าถูกชกอย่างหนักแล้วยังไม่ล้มลงและไม่ยืนทับอยู่บนเชือกแต่มีสภาพหมดสติ และผู้ชี้ขาดเห็นว่าไม่สามารถชกต่อไปได้
ข. การนับ ( The Count ) ในกรณีที่มีการล้ม ผู้ชี้ขาดต้องนับทันที และเมื่อนักมวยคนหนึ่งล้มผู้ชี้ขาดต้องนับดัง ๆ จากหนึ่งถึงสิบโดยเว้นระยะนับ 1 วินาที และต้องแสดงสัญญาณมือแต่ละวินาที เพื่อให้นักมวยที่ล้มทราบการนับ ก่อนที่จะเริ่มนับหนึ่งต้องเว้นระยะเวลาที่นักมวยได้ล้มลงถึงพื้นแล้ว 1 วินาที จึงจะนับหนึ่งได้ ถ้าคู่แข่งขันไม่ไปที่มุมกลางตามคำสั่งของผู้ชี้ขาด ผู้ชี้ขาดต้องหยุดนับจนกว่าคู่แข่งขันจะได้ปฏิบัติตามคำสั่งแล้ว จึงนับต่อไปจากที่ได้หยุดนับไว้ ผู้ตัดสินต้องใส่อักษร " KD " ลงไปในบัตรให้คะแนนแก่นักมวยคนใดคนหนึ่ง หรือทั้งสองคนที่ผู้ชี้ขาดนับ ถ้าหากนักมวย " ล้ม " เพราะถูกชกที่ศีรษะ ผู้ตัดสินต้องใส่อักษร " KDH " ลงในบัตรให้คะแนนด้วย
ค. ความรับผิดชอบของคู่แข่งขัน ( Opponent's Responsibilities ) ถ้านักมวยคนหนึ่งล้ม คู่แข่งขันต้องไปที่มุมกลางทันทีตามคำสั่งของผู้ชี้ขาด เขาจะแข่งขันกับนักมวยที่ล้มต่อไปได้เมื่อผู้ที่ล้มได้ลุกขึ้นแล้วและผู้ชี้ขาดสั่ง " BOX " ( ชก ) เท่านั้น
ง. การนับถึงแปด ( Mandatory Eight Count ) เมื่อนักมวยคนหนึ่งล้ม อันเนื่องมาจากการถูกชก การแข่งขันจะดำเนินการต่อไปไม่ได้จนกว่าผู้ชี้ขาดจะได้นับถึงแปดเสียก่อน แม้ว่านักมวยที่ล้มนั้นพร้อมที่จะแข่งขันได้ก่อนนับถึงแปดก็ตาม
จ. การน็อคเอ้าท์ ( The Knock - Out ) เมื่อผู้ชี้ขาดได้นับถึงสิบและกล่าวคำว่า " OUT " แล้ว การแข่งขันเป็นอันสิ้นสุดและจะต้องตัดสินว่า " น็อคเอ้าท์ "
ฉ. นักมวยล้มในขณะสิ้นสุดยก ( Boxer Down at End of Round ) กรณีนักมวยล้มอยู่ขณะที่เวลาได้สิ้นสุดลงในยกที่ไม่ใช่ยกสุดท้ายของรอบชิงชนะเลิศในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ การแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของโลก การแข่งขันชิงถ้วยโลก การแข่งขันแบบท้าชิงของ A.I.B.A. การแข่งขันเพื่อความชนะเลิศของทวีป หรือการแข่งขันระดับนานาชาติ ผู้ชี้ขาดต้องนับต่อไป ถ้าผู้ชี้ขาดนับถึงสิบ นักมวยที่ล้มจะแพ้น็อคเอ้าท์ แต่ถ้านักมวยที่ล้มนั้นสามารถที่จะทำการแข่งขันต่อไปได้ก่อนที่จะนับถึงสิบ ผู้ชี้ขาดต้องสั่ง "BOX" ( ชก ) ทันที
ช. นักมวยล้มลงอีกเป็นครั้งที่สองโดยไม่ถูกชก ( Second Time Boxer Down Without a Fresh Blow ) ถ้านักมวยคนหนึ่งล้มอันเนื่องมาจากการถูกชก ผู้ชี้ขาดได้นับถึงแปดแล้ว และสั่งให้แข่งขันต่อไปแต่นักมวยผู้นั้นกลับล้มลงไปอีกโดยมิได้ถูกชก ผู้ชี้ขาดต้องนับต่อไปจากแปด
ซ. นักมวยล้มทั้งสองฝ่าย ( Both Boxers Down ) ถ้านักมวยทั่งสองฝ่ายล้มลงในเวลาเดียวกันจะต้องทำการนับเรื่อยไปตราบเท่าที่ยังมีนักมวยคนใดล้มลงอยู่ ถ้านักมวยทั้งสองฝ่ายยังล้มลงอยู่จนนับถึงสิบให้ยุติการแข่งขัน และการตัดสินให้เป็นไปตามคะแนนที่ได้ให้ไว้จนถึงเวลาที่ล้มนั้น
ฌ. นักมวยไม่สามารถแข่งขันต่อไปได้ ( Boxer Fails to Resume ) นักมวยที่ไม่สามารถแข่งขันต่อไปได้ทันทีภายหลังจากการหยุดพักระหว่างยก

ประวัติความเป็นมาของมวยไทย

มวยอาชีพ ทางบริษัทมวยเวทีราชดำเนินได้วางระเบียบข้อบังคับ และกติกาแข่งขันขึ้นโดยได้อาศัยระเบียบข้อบังคับและกติกามวยสากล (อาชีพ) ของประเทศฟิลิปปินส์เข้าเทียบเคียง เพื่อให้เข้ากับระเบียบข้อบังคับของสหพันธ์มวยภาคตะวันออก ซึ่งประเทศไทยเราได้เป็นภาคีอยู่ด้วย ทางเวทีราชดำเนินได้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับกติกาใหม่นี้ตั้งแต่ เดือนมิถุนายน 2498 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับในด้านการแข่งขันมวยไทยเป็นมาอย่างไรนั้น ขอนำบทความในเรื่อง “จากสวนกุหลาบถึงราชดำเนิน” ของสมิงกระหร่อง ซึ่งได้เขียนไว้ในสมุดภาพบันทึกความวิวัฒนาการของเวทีมวยราชดำเนินดังต่อไปนี้
การเขียนเรื่องกีฬามวยไทยกำเนิดขึ้นในสมัยใดนั้นเป็นเรื่องสุดวิสัยของการเขียน รายละเอียดของการก่อตั้งกีฬามวยเมืองไทยเป็นเพียง ตั้งแต่ยุคสมัยสวนกุหลาบสมัยพระยา “แม็คนนท์เสน” มาจนถึงสมัยเวทีราชดำเนินก็ตกอยู่ในภาวะอันเดียวอย่างที่เราและท่านจะเล่าสู่กันฟัง ได้เพียงจากความทรงจำบางระยะบางตอนเท่านั้น เพราะว่าความทรงจำของคนเรานั้นมักสั้น เรื่องที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังนี้เสี่ยงต่อการผิดพลาด ได้มากทีเดียว ถึงกระนั้นก็พยายามอย่างที่สุดเท่าที่จะพยายามทำได้
ที่เรียกว่าสนามครั้งนั้นเป็นสนามจริง นายสนามเอาเชือกมากั้นพอเป็นบริเวณเข้า และนักมวยก็คาดเชือกชกกันบนพื้นดิน ใช้จอกหรือกะลา ลอยน้ำเป็นมาตรากำหนดเวลาจบครั้งหนึ่งเรียกว่ายกหนึ่ง การต่อสู้ตามความรู้สึกในขณะนั้นก็เรียกว่าตื่นเต้นดี แต่ถ้าหากให้ชกกันเดี๋ยวนี้ก็คง ถูกคนดูโห่หรือให้กรรมการไล่ลงหรือออกจากเวทีแน่ เพราะกว่าจะชกกันแต่ละครั้งนั้นนานจนเมื่อยตา แต่ก็น่าเห็นใจเนื่องจากหมัดที่ใช้ชกคาดด้วย เชือกแทนสวมนวมอย่างไรก็ดีกีฬามวยเริ่มเข้าสู่ระเบียบอย่างจริงจัง ก็เมื่อสร้างเวทีขึ้นกลางสนามฟุตบอลสวนกุหลาบ พื้นใช้ไม้กระยาเลยเสื่อลำแพน หรือเสื่อกระจูดปูทับข้างบน มีการนับยกโดยการจับเวลาเป็นนาทีมีกรรมการคอยห้าม ครั้งแรกเคยใช้กรรมการ 2 คน คนหนึ่งคอยกันฝ่ายแดง อีกฝ่ายคอยกันฝ่ายน้ำเงิน คนหนึ่งคือพระยานนท์เสน อีกคนหนึ่งคือพระยานเรนทร์ราชาที่เป็นกรรมการตัดสินที่นิยมยกย่องแพร่หลายอยู่ในระหว่าง นักมวยและคณะหัวหน้านักมวยทั่วไป
สำหรับการชกนั้น ชกกันสลับคู่ เช่น คู่ 1 ชกครบ 1 ยกแล้วก็ลงจากเวที มาให้คู่ 2 ขึ้นไปชกกันเพื่อมิให้คนดูเสียเวลารอคอย พอครบยกก็ลง ให้คู่แรกขึ้นชกยกที่ 2 หากยังไม่มีการแพ้ชนะกันก็ให้ชกกลับกันเรื่อยไปจนกว่าจะสิ้นแสงตะวัน หลักเกณฑ์และกติกาเบื้องต้นอนุญาตให้ซ้ำกันได้ในเวลาล้ม นักมวยตอนนั้นจึงต้องเรียนรู้วิธีต่อสู้รอบตัวทีเดียวเพราะฟาวล์ไม่มี แม้กระทั่งกัดใบหูก็เคยปรากฏ อีกอย่างหนึ่งสมัยนั้นนักเรียนพลศึกษามีมากอยากจะขึ้นชก เป็นการแสดงฝีมือ และสอบไล่มวยไทยไปในตัวเสร็จแต่กลัวเท้าพวกนักมวยต่างจังหวัด จึงตกลงวางหลักกติกาให้มีการใช้ยูยิตสูช่วยด้วย จึงเป็นของธรรมดาที่เรา จะเห็นนักมวยต่างจังหวัดซึ่งไม่เคยรู้ยูยิตสูคืออะไร ถูกทุ่มถูกล็อคจนออกปากส่งเสียงร้องเอ็ดตะโรยแพ้ให้ลั่นไป นอกจากบางรายอย่าง ประสิทธิ บุญญารมย์ ซึ่งถูกตาทับจำเกราะเตะเสียจนตั้งตัวไม่ติดและสลบคาเท้าไปในที่สุด
กติกามวยไทยเราได้รับการทำนุบำรุง ได้รับการปรับปรุงระเบียบแบบแผน กฎกติกา จรรยา มารยาท และสวัสดิภาพตามแบบสากลนิยม หลายคนที่เคยดูมวยสมัยนั้น และสมัย ต่อ ๆ มาที่หลักเมือง ที่สวนกุหลาบสนามชัย ท่าช้าง เคยเห็นนักมวยและมิตรสหายชาวเกลอของนักมวยยกพวกตีกันหัวร้างข้างแตก ภายหลังจากการชิงชัย เพราะว่าฝ่ายใดไม่พอใจ ขุ่นแค้นอาฆาตพยาบาท หรือเพียงแพ้พนัน แต่เมื่อได้มาเห็นนักมวยที่หน้าตายับเยิน ตรงเข้าสวมกอดกันหลังจากที่การชกได้ยุติ ลงและจูงมือเข้าโรงอาหารหรือสุรา เมื่อออกจากสนามก็มักจะตื่นเต้นในความเป็นนักกีฬาที่แสดงแก่กันนั่นเองที่ผลของพลศึกษาในสาขาวิชามวย ทั้งแบบไทยและสากล ได้ให้แก่จิตใจของนักกีฬาและประชาชนตลอดยุคแห่งการล้มลุกคลุกคลานของกีฬามวยจากสวนกุหลาบยุคโน้น มาจนถึงเวทีราชดำเนินในปัจจุบัน
ความเป็นมาของมวยไทย มวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวที่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งในเชิงกีฬาและการต่อสู้จริง ๆ ศิลปะประเภท นี้มีมาแต่โบราณกาล บรรพบุรุษของชาติไทยได้ฝึกฝนอบรมสั่งสอนกุลบุตรไว้เพื่อป้องกันตัวและชาติ บรรดาชายฉกรรจ์ของไทยได้รับการฝึกฝน วิชามวยไทยแทบทุกคน นักรบผู้กระเดื่องนามทุกคนต้องได้รับการฝึกฝนอบรมศิลปะประเภทนี้อย่างจัดเจนทั้งสิ้น เพราะการใช้อาวุธในสมัยโบราณ เช่น กระบี่ พลอง ดาบ ง้าว ทวน ฯลฯ ถ้ามีความรู้วิชามวยไทยประกอบด้วยแล้วจะทำให้เกิดประโยชน์มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่เข้าต่อสู้ติดพันประชิดตัว ก็จะได้อาศัยใช้อวัยวะบางส่วนเข้าช่วย เช่น เข่า เท้า ศอก เป็นต้น แต่เดินมาศิลปะมวยไทยที่มีชั้นเชิงสูงมักจะฝึกสอนกันในบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ หรือเฉพาะพระมหากษัตริย์และขุนนางฝ่ายทหารเท่านั้น ต่อมาจึงได้แพร่หลายไปถึงสามัญชนซึ่งได้รับการถ่ายทอดวิทยาการจากบรรดา อาจารย์ซึ่งเดิมเป็นขุนพลหรือยอดนักรบมาแล้ว วิทยาการจึงได้แพร่หลายและคงอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้
มวยไทยศิลปะการต่อสู้และป้องกันตัว แต่ก็แตกต่างไปจากมวยสากล คือ นอกจากจะใช้หมัดชกคู่ต่อสู้แล้ว ยังสามารถใช้ เท้า เข่า และศอกต่อสู้ได้อีก การใช้หมัดชกในแบบมวยไทย นอกจากจะมีการชกตรง ชกชุด และชกอัปเปอร์คัต เหมือนกับแบบมวยสากลแล้ว มวยไทยยังได้มีการชกมวยแบบมุดตัวเหวี่ยง หมัดกลับ ถ้าคู่ต่อสู้ไม่ได้จ้องดูและไม่ก้มศีรษะลง มักจะถูกหมัดเหวี่ยงกลับของคู่ต่อสู้ถึงกับน็อกเอาท์ก็ได้ หมัดเหวี่ยงกลับก็เป็นหมัดหนึ่งคล้ายกับมุด ตัวเหวี่ยงหมัดกลับ แต่ใช้ข้อมือหรือหลังมือทุบหรือตีคู่ต่อสู้ นักมวยไทยทั่ว ๆ ไปยังใช้วิธีชกตามแบบเหล่านี้อยู่ และนอกจากนั้นยังใช้อวัยวะอย่าง อื่นช่วยได้อีกหลายวิธี เช่น ใช้เท้าเตะต่ำ เตะสูง เตะตรง เตะตัด และถีบ ซึ่งจะใช้ได้ทั้งปลายเท้า ฝ่าเท้า หลังเท้า และส้นเท้า นักมวยไทยมีความชำนาญ มากในการใช้เท้า ส่วนใหญ่เป็นการเตะและถีบ ส่วนการใช้เข่า นักมวยไทยก็ใช้ได้หลายวิธีด้วยกัน เช่น กระโดดตีเข่า จับกอดคู่ต่อสู้ตีเข่า นอกจากนั้น ยังรู้จักใช้ศอกซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายอย่างยิ่ง วิธีตีศอกก็มีอยู่หลายวิธีด้วยกัน คือ ศอกตี หมายถึงกดปลายศอกลงโดยตรงศอกตัด คือ เหวี่ยงศอกขนานกับพื้น ศอกงัด คือ วัดปลายศอกขึ้น หรือยกปลายศอกขึ้น ศอกพุ่ง คือ พุ่งศอกออกไปยังคู่ต่อสู้ ศอกกลับ คือ การหมุนตัวกลับพร้อมกับตีศอกตามแบบต่าง ๆ ไปด้วย
การชกมวยไทยในสมัยโบราณเป็นการต่อสู้กันแบบตัวต่อตัว ต่อสู้กันจริง ๆ และหวาดเสียวตื่นเต้นมากกว่าสมัยนี้นักมวยสมัยเก่าต้องใช้ด้าย ดิบชุบแป้งให้แข็ง เส้นโตขนาดดินสอดำพันมือตั้งแต่สันมือตลอดถึงข้อศอก และพันรัดเป็นปมทางด้านหลังของข้อนิ้วมือ (สันหมัด) เป็นรูปก้นหอยที่เรียกว่า “คาดเชือก” ซึ่งไม่มีการสวมนวมเหมือนอย่างสมัยปัจจุบัน ฉะนั้นการชกแข่งขันในสมัยนั้นเมื่อถูกชกใบหน้า หรือเพียงแต่เฉียดผิดหนังส่วนใดส่วนหนึ่งไปเท่านั้น ก็แน่นอนทีเดียวว่าจะทำให้เลือดซึมออกมาทันที ในสมัยก่อน เมื่อครั้งยังไม่มีกติกาข้อห้ามมากนัก กับทั้งไม่รัดกุมเหมือนสมัยปัจจุบัน นักมวยทั้งสองฝ่ายจะ ต้องต่อสู้กันอย่างระมัดระวัง ศีรษะก็ใช้ชนคู่ต่อสู้ได้ เพียงแต่ห้ามกัดกันเท่านั้นต่อมาได้แก้ไขปรับปรุงกติกาการแข่งขันเรื่อยมาจนถึงสมัยปัจจุบัน
การแข่งขันมวยไทยในปัจจุบันนี้ นักมวยต้องสวมนวม ขนาด 4 ออนซ์ และแต่งกายแบบนักกีฬามวย คือ สวมกางเกงขาสั้น สวมกระจับ ส่วนผู้ใดจะสวมปลอกรัดข้อเท้า และจะมีเครื่องรางของขลังผูกไว้ที่แขนท่านบนก็ได้ ในการแข่งขันมีผู้ตัดสินชี้ขาดบนเวที 1 คน มีผู้ตัดสินให้คะแนนอยู่ข้างเวที 2 คน มีผู้จับเวลา 1 คน และมีแพทย์ประจำเวที 1 คน จำนวนยกในการแข่งขันทั้งหมดมี 5 ยก ยกละ 3 นาที พักระหว่างยก 2 นาที การแข่งขันแบ่งเป็นรุ่นตามน้ำหนัก ตัวของนักมวยเหมือนกับหลักเกณฑ์ของมวยสากล ผู้ตัดสินมีอำนาจหน้าที่ตามกติกาการแข่งขัน อวัยวะที่ใช้ในการต่อสู้แข่งขันได้คือ หมัด เท้า เข่า และศอกเข้าชก เตะ ถีบ ทุบ ถอง ตี ฯลฯ ได้ทุกส่วนของร่างกายโดยไม่จำกัดที่ชก
ก่อนการแข่งขันนักมวยทั้งสองจะทำการไหว้ครูและร่ายรำ คือ กราบสามครั้ง เพื่อระลึกถึง บิดา มารดา ครูอาจารย์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือ ตลอดจนขอคุณพระศรีรัตนตรัย หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มาช่วยคุ้มครอง และขอให้ได้ชัยชนะด้วยความปลอดภัยในที่สุดแล้วจึงร่ายรำไปรอบ ๆ เวทีตามแบบ ฉบับของครูที่ได้สอนไว้ให้โดยตลอด นักมายทุกคนจะสวม “มงคล” ที่ศรีษะมงคลนี้ทำด้วยด้ายดิบหลายเส้นรวมกันแล้วพันหุ้มด้วยผ้าโตขนาดนิ้วมือทำเป็น รูปบ่วงเพื่อสวมศีรษะ การสวมมงคลไว้ก่อนแข่งขันนี้เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีของไทย ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งครูอาจารย์ได้ทำพิธีปลุกเสก และให้ความเป็นสิริมงคลไว้แก่ตน ฉะนั้นนักมวยจะสวมมงคลไว้ตลอดเวลาที่ทำการไหว้ครูและร่ายรำ และจะถอดออกจากศีรษะได้ในเมื่อจะเริ่มการแข่งขัน ในระหว่างการไหว้ครูและร่ายรำนั้นจะมีดนตรีบรรเลงประกอบตามทำนอง ของดนตรีไทยเป็นจังหวะช้า ๆ เครื่องดนตรีเหล่านั้นได้แก่ ปี่ชวา กลองแขก 2 และฉิ่ง 1 เมื่อถอดมงคลแล้วกรรมการผู้ชี้ขาดจะให้นักมวยทั้งสองมาจับมือกัน ซึ่งเป็นการแสดงถึงการมีน้ำใจเป็นนักกีฬาพร้อมกันนั้นก็จะตักเตือนกติกาสำคัญ ๆ อันเกี่ยวกับการแข่งขันให้นักมวยทั้งสองได้ทราบ ครั้นเมื่อการต่อสู้ได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจังแล้วดนตรีบรรเลงในทำนองเร่งเร้าให้นักมวยทั้งสองเกิดความ รู้สึกฮึกเหิมและมุ่งเข้าต่อสู้กันอย่างดุเดือด การร่ายรำและการต่อสู้โดยมีดนตรีประกอบนั้น นอกจากจะถือว่าเป็นศิลปะแล้ว ยังเป็นประเพณีอันดีงามของ ชาวไทยมาแต่โบราณกาล จนไม่อาจจะทิ้งให้สูญหายไปเสียได้
ปัจจุบัน การแข่งขันมวยไทยเป็นกีฬาอาชีพโดยสิ้นเชิงเฉพาะในกรุงเทพฯ มีการแข่งขันเป็นประจำเกือบทุกวัน วันละ 2 รอบก็มี สำหรับการควบคุม มวยอาชีพขึ้นอยู่กับกฎข้อบังคับของกระทรวงมหาดไทย ที่มิใช่อาชีพก็มีเพียงการฝึกสอนในสถาบันการพลศึกษาเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อมิให้ศิลปะมวยไทย สูญหายไปและเพื่อรักษาไว้ซึ่งการกีฬาประจำชาติอันเป็นศิลปะในการต่อสู้ชาวต่างประเทศที่มีโอกาสได้มาท่องเที่ยวในประเทศไทย ก็มักจะไม่ยอมพลาด โอกาสที่จะไปชมการแข่งขันมวยไทยจะต้องพยายามเข้าชมการแข่งขันมวยไทย ปรากฏว่าเป็นที่น่าสนใจของชาวต่างประเทศมาก เพราะมวยไทยมีวิธีชกแปลก ที่สุดในโลก และยิ่งกว่านั้นนักมวยไทยยังได้เคยเดินทางไปแสดงในต่างประเทศหลายครั้งจนเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายทั่วไป มีศิลปะการต่อสู้ของชาติต่าง ๆ ได้ขอเข้ามาต่อสู้กับมวยไทย เช่น ยูโด คาราเต้ เทควันโด มวยสากล มวยปล้ำ มวย Kick Boxing, Martrialart ฯลฯ ซึ่งการต่อสู้แต่ละครั้งมวยไทยจะเป็น ฝ่ายได้รับชัยชนะ ทำให้ชาวต่างชาติเห็นว่าการต่อสู้แบบมวยไทย เป็นวิธีการต่อสู้ที่มีพิษสงรอบด้าน จึงพากันสนใจเรียนมวยไทยกันมาก อีกทั้งมีคนไทยที่มี ความรู้ด้านมวยไทยเป็นอย่างดี ซึ่งอาจเป็นครูสอนมวยไทยมาก่อน หรือบางคนเป็นนักมวยที่มีฝีมือและมีชื่อเสียงมาก่อนไปอาศัยในต่างประเทศ ได้เปิดสอนมวย ไทยในประเทศที่ตนเองไปอาศัยอยู่นั้น ซึ่งได้รับการสนใจเป็นอันมาก ปัจจุบันมวยไทยอาชีพได้เผยแพร่จนเป็นที่รู้จักทั่วกัน จนมีการจัดการแข่งขันมวยไทย ในต่างประเทศบ่อย ๆ เช่น อังกฤษ อเมริกา แคนาดา เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น ฯลฯ เป็นการแข่งขันมวยไทยระหว่างนักมวยไทยกับมวยต่างชาติที่ฝึกและนิยมมวยไทย หรือการแข่งขันระหว่างนักมวยไทยด้วยกันเองในต่างแดนจากความสนใจของชาวต่างชาติที่ฝึกมวยไทยนี้เอง จึงมีนักมวยต่างชาติเข้าใจและมีฝีมือ ในการต่อสู้แบบมวยไทยเป็นอย่างดียิ่งขึ้น

กำเนิดมวยสากลโลก

มวยสากลนั้นมีมานานแล้วตามหลักฐานซึ่ง Sir Ather Evan ได้ค้นพบเศษรูปสลักของนักมวยโบราณ ซึ่งแยกออกเป็นชิ้นๆ ในปี พ.ศ. 2443 ที่เมืองบอซซุส อันเป็นโบราณสถานเก่าแก่แห่งหนึ่งในเกาะครีตของประเทศกรีซ ทางตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จากหลักฐานทำให้ทราบว่า มวยโบราณสมัยกรีกก่อนคริสต์ศักราช แบ่งออกเป็น 3 ระยะ
- ระยะแรก เป็นสมัยของโฮมเมอร์ ประมาณ 900-600 ก่อนคริสต์ศักราช ตอนนี้ใช้หนังอ่อนๆ ยาว 10-12 ฟุต พันตั้งแต่ข้อมือถึงข้อศอก จุดประสงค์เพื่อป้องกันมือของผู้ชก กติกาก็มีเพียงเล็กน้อยแต่ยุติธรรม มีความแข้มแข็ง กล้าหาญ ทนทาน และฝีมือดี จึงจัดว่าเป็นสิ่งสำคัญ
- ระยะที่สอง ระหว่าง 400-200 ปี ก่อนคริสต์ศักราช มีการดัดแปลงเล็กน้อยคือ พันมือแน่นและหนักขึ้นกว่าเดิม และเป็นที่นิยมในสมัยนี้ ผู้เข้าแข่งขันจะต้องฝึกอย่างน้อย 9 เดือน เมื่อใกล้ถึงวันแข่งจริงจะทำการจับคู่คล้ายกับปัจจุบัน วิธีการชกคือ นักมวยเข้าหากันเป็นเส้นตรง ชกกันตลอดเวลาไม่มีการพักยกจนกว่าข้างหนึ่งข้างใดจะหมดกำลัง หรือยอมแพ้ ไม่มีผู้ตัดสิน และไม่มีกำหนดน้ำหนัก
- ระยะที่สาม ระหว่าง 400 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ลงมาจนถึงสมัยโรมันรุ่งเรือง สมัยนี้การชกมวยเป็นการต่อสู้ของพวกพวก Giadaiors ซึ่งอาจจะตายไปข้างหนึ่งต่อมาในราวปี พ.ศ. 937 โรมันเสื่อมอำนาจลง การชกมวยก็ได้เสื่อมไปด้วย
เมื่อครั้งโรมันเข้ายึดครองอังกฤษ ได้นำเอามวยเข้าไปเผยแพร่ในอังกฤษด้วย ซึ่งนักบุญเบอร์นาร์ดได้เขียนเรื่องมวยในประเทศอิตาลีไว้อย่างละเอียด ในปี พ.ศ. 1783 ตอนหนึ่งท่านกล่าวว่า มวยเป็นกีฬาประเภทหนึ่งที่ฝึกคนให้เป็นอัศวิน
มวยสากลของอังกฤษแบ่งเป็น 3 ระยะคือ
ระยะแรกในระหว่างปี พ.ศ. 2241 ถึง 2333 เรียกว่า สมัยมงกุฎผีสิงเพราะส่วนมากจะได้มงกุฎเป็นรางวัล Jim Fick เป็นผู้ชนะเลิศมวยมือเปล่าคนแรกของอังกฤษโดยชนะเลิศในปี พ.ศ. 2283 เขาได้ดำเนินการสอนมวยสากล และเป็นบุคคลแรกในปี พ.ศ. 2486 ที่ได้กำหนดกติกามวยสากลขึ้น จนได้ชื่อว่า บิดาแห่งมวยสากลอังกฤษ
ในปีเดียวกัน Brutan ก็ได้ประดิษฐ์นวมขึ้นในการชก แต่คงใช้ในการสอนศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวเท่านั้น สำหรับมวยอาชีพยังใช้มือเปล่าอยู่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2335 Carepier Mandesa ได้ครองตำแหน่งชนะเลิศ และได้พยายามรักษาตำแหน่งไว้จนถึงปี พ.ศ. 2338 ถึงได้เสียตำแหน่งให้แก่ Jackson ซึ่ง Jackson ได้สละตำแหน่งในเวลาต่อมา และได้เปิดฝึกมายจนมีชื่อเสียง มีลูกขุนนางและสุภาพชนมากหน้าหลายตามาสัครเรียนมวยจึงกลายเป็นศาสตร์ที่เราต่างศึกษากันจนถึงทุกวันนี้
ต่อมาเนื่องจากการให้รางวัลนักมวย ด้วยเงิน จึงมีการแข่งขันกันมากโดยการติดสินบนแก่ผู้จัดการของนักมวย มวยจึงเป็นเครื่องมือหากินของเจ้าของเงินนั้นไป สามคมหลายแห่งต้องล้มเลิกในระยะต่อมา ทางราชการอังกฤษจึงไม่ร่วมมือด้วยนักมวยก็ละเมิดกติกา จึงมีอันตรายเกิดขึ้นเนืองๆ ในที่สุดวงการมวยสากลของอังกฤษก็เสื่อมลงไประยะหนึ่ง
ต่อมาเมื่อวิเคราะห์กติกามวยสากลที่บูรตันคิดค้นแล้วจะเห็นว่ายังไม่รัดกุม เช่น จำนวนยกกำหนดไว้ไม่แน่นอน เพียงแต่แข่งขันกันจนนักมวยคนหนึ่งคนใดถูกน็อคหรือถูกเหวี่ยงจนล้มไม่สามารถลุกขึ้นมาต่อสู้ได้ภายในเวลา 30 วินาที การฟาวล์ก็มีเพียง 2 ข้อคือ การชกขณะล้มและกอด หรือยึดต่ำกว่าเอว
กติกาเหล่านี้ภายหลังได้ชื่อว่าเป็นกติกามวยชิงรางวัลแห่งกรุงลอนดอน ต่อมาในปี พ.ศ. 2381 บาควิสที่ 6 แห่งควินสาบอรี่ จึงได้ยกร่างกติกาใหม่ด้วยความร่วมมือของ John B. Chember ในปี พ.ศ. 2409 จึงได้รับความนิยมจากบุคคลทั่วไปว่าเป็นกติกาสากล อันเป็นรากฐานแบ่งการแข่งขันออกเป็น 3 ยก 2 ยกแรก ยกละ 3 นาที ยกสุดท้าย 4 นาที
การตัดสินก็โดยความเห็นชอบจากฝ่ายข้างมากของผู้ตัดสิน ผู้ใดชกล้มถือว่าแพ้ ถ้าไม่ลุกขึ้นมาภายใน 10 วินาที การชกต้องสวมนวมตลอดเวลา ผู้ชี้ขาดจะต้องอยู่ในสังเวียนเพียงคนเดียวกับนักมวยอีกสองคนเท่านั้น กติกานี้วงการมวยสมัครเล่นนำไปใช้ทันที แต่สำหรับมวยอาชีพค่อยๆ นำไปใช้ในตอนหลัง มวยอาชีพได้มีการเปลี่บนแปลงเรื่องจำนวนยก คือสู้กี่ยกก็ได้แล้วแต่จะตกลงกัน ในปี พ.ศ. 2424 ได้วางกติกามวยสมัครเล่นขึ้นใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะคล้ายของเดิม เพียงแต่เพิ่มระเบียบการตัดสินและการบันทึกให้รัดกุมเท่านั้น
การใช้นวมเริ่มกันอย่างจริงจังในสมัยการใช้กติกาควีนสเบอรี่ (Queensberry) ปี พ.ศ. 2403 นี้เอง ก่อนนั้นนิยมการพันมือแทนนวม และค่อยๆ เปลี่ยนมาเรื่อยๆ จนถึงสมัยกิจกรรมมวย ได้ถูกยกย่องขึ้นเป็นศิลป์ ความจริงการใช้นวมทำให้การชกลดอันครายลงได้มาก และทำให้การชกรวดเร็วขึ้น ผู้ชกไม่ต้องห่วงถึงอันตรายเกี่ยวกับมือหักหรือเคล็ดอีกต่อไป
ในปี พ.ศ. 2425 John L. Sulrivan ชาวอเมริกัน ได้ชกชนะ Patty Ryan ชาวอังกฤษ และได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ชนะเลิศแห่งอเมริกาในการชกตามกติกามวยชิงรางวัลแห่งกรุงลอนดอน 9 ยก ที่เมืองมิสซิสซิปปี้
ต่อมาอีก 3 ปี James Smith ชาวอังกฤษ ได้เป็นผู้ชนะแห่งอังกฤษ โดยชนะ Jack Davids
ในปี พ.ศ. 2430 Jack Kirlan อเมริกา เสมอกับ James Smith อังกฤษและในการแข่งขันครั้งนี้ได้เป็นที่ยอมรับกันว่าทั้งคู่คือผู้ครองเข็มขัดชนะเลิศแห่งโลกเป็นครั้งแรก
ต่อมาวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2432 John L. Sulrivan ได้ชิงตำแหน่งชนะเลิศของโลกจาก Jack Kirlan ที่เมืองริชเยอก มลรัฐมิสซิสซิปปี้ ซึ่งเป็นการต่อสู้แบบมือเปล่าครั้งสุดท้าย เป็นจำนวน 75 ยก John L. Sulrivan ผู้ชนะเลิศ ประกาศว่าจะไม่ยอมชกด้วยมือเปล่าอีกต่อไป ตั้งแต่นั้นมาการชกมวยอาชีพในอเมริกาจึงใช้นวมมาตลอด
ในปี พ.ศ. 2457 มี 4 รัฐ ในอเมริกาคือ นิวยอร์ก แคลิฟอร์เนีย หลุยเซียนา เนวาดา และฟลอริดา ได้ตกลงแบ่งการชกออกเป็น 20 ยก เหมือนกัน และในปีนี้รัฐบาลกลางได้ตรากฎหมายควบคุมในรัฐแคลิฟอร์เนียให้การชกเหลือเพียง 4 ยก ในปี พ.ศ. 2458
ระหว่างปี พ.ศ. 2458-2473 นับว่าเป็ระยะที่การชกมวยในสหรัฐอเมริการุ่งเรืองถึงขีดสุด รัฐนิวยอร์ก และรัฐวินคอนซิลได้ตรากฎหมายควบคุมการชกเป็นจำนวน 10 ยก และมีผู้ตัดสินที่มีสมรรถภาพดีเยี่ยมเพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่มลรัฐอื่นๆ ส่วนในรัฐแคลิฟอร์เนียยังคงกำหนดการชกเป็น 4 ยกอยู่ เมื่อรัฐบาลกลางตรากฎหมายควบคุม ในตอนนี้กฎหมายควบคุมการชกมวยในมลรัฐต่างๆ เป็นจำนวนทั้งสิ้น 44 มลรัฐ
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้มีการฝึกซ้อมมวยกันภายในกองทัพเพื่อฝึกหัดให้ทหารมีจิตใจกล้าหาญเพื่อการสู้รบในยามสงคราม ฝึกให้มีสมรรพภาพทางกาย หู ตาไว การทรงตัวดี และเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมตนเองในเวลาต่อสู้และเหนือสิ่งอื่นให้เป็นผู้มีน้ำใจเป็นนักกีฬา มวยสากลจึงเป็นกิจกรรมที่นิยมกันในกองทหารตลอดมา
มวยสากลเข้าสู่สถานศึกษาครั้งแรกในมหาวิทยาลัยฮาวาโด เมืองแคมบริดจ์ มลรัฐแมสซาชูเซตส์ เริ่มศึกษากันอย่างจริงจังในระหว่างปี พ.ศ. 2429-2462 และได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างเต็มที่ ถึงกับได้ตั้งสถาบันฝึกหัดมวยขึ้นโดยเฉพาะอีกแห่งหนึ่ง มีผู้สมัครเข้ารับการอบรมเป็นจำนวนมาก ในปี พ.ศ. 2463 ได้บรรจุวิชามวยสากลเข้าในหลักสูตรของมหาวิทยาลัย และโรงเรียนต่างๆ ทำให้กิจกรรมมวยสากลได้แพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง ปัจจุบันมวยกากลซึ่งได้กำหนดไว้ในวิชาพลศึกษาในโรงเรียนต่างๆ ทั่วทุกมุมโลกได้ขยายตัวมากขึ้น เพื่อให้นักเรียนทุกคนได้ฝึกเป็นศิลปะแห่งการต่อสู้ป้องกันตัว และทำการแข่งขันกันระหว่างโรงเรียนเป็นประจำ อันเป็นทางหนึ่งที่จะผลิตนักมวยสากลให้แก่สมาคมมวยสมัครเล่น และมวยสากลอาชีพต่อไป

กำเนิดมวยสากลในเอเชียและในไทย
กีฬามวยสากลแพร่หลายเข้าสู่เอเชียครั้งแรกที่ประเทศฟิลิปปินส์ผ่านทางสหรัฐอเมริกา จากนั้นจึงแพร่หลายต่อไปยังญี่ปุ่นและไทย ทั้ง 3 ประเทศนี้เป็นประเทศที่บุกเบิกทางด้านกีฬามวยสากลในเอเชียและเป็นประเทศร่วมก่อตั้งสหพันธ์มวยภาคตะวันออกไกลและแปซิฟิก (OPBF)
มวยสากลหรือที่เรียกในยุคแรกว่า "มวยฝรั่ง" เข้าสู่ประเทศไทยครั้งแรกราว พ.ศ. 2455 โดยได้แบบอย่างจากประเทศอังกฤษ ผู้นำมาเผยแพร่คือหม่อมเจ้าวิบูลย์สวัสดิวงศ์ สวัสดิกุล ครั้งแรกนำมาเผยแพร่ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และแพร่ต่อไปยังโรงเรียนต่างๆ มีการจัดแข่งขันมวยนักเรียนซึ่งเป็นแบบมวยสากลสมัครเล่นในยุคต่อ ๆ มา

สนามมวยลุมพินี

สนามมวยเวทีลุมพินี ได้ก่อตั้งเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2499 เป็นสนามมวยมาตรฐาน 1 แห่งในจำนวนทั้งหมด 2 แห่งในประเทศไทย ได้สร้างชื่อเสียงทั้งในด้านการเสริมสร้างและผลิตนักมวยไทยชั้นนำของประเทศ ส่งเสริมศิลปะมวยไทยให้แพร่หลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนสร้างนักมวยสากลจนสามารถเป็นแชมเปี้ยนโลกหลายคน และมีส่วนส่งเสริมธุรกิจภายในประเทศด้วยการสร้างอาชีพให้แก่นักมวย, ค่ายมวย และผู้จัดการรวมทั้งในความบันเทิงแก่ผู้สนใจในวงการกีฬาประเภทนี้โดยทั่วกัน วัตถุประสงค์ 1.สนามมวยเวทีลุมพีนี เป็นกิจการของกองทัพบก เพื่อเป็นสวัสดิการของข้าราชการกองทัพบก และสนับสนุนหน่วยต่างๆ ในกองทัพบก 2.ผดุงและส่งเสริมศิลปะมวยไทยให้เป็นเอกลักษณ์ของคนไทย เช่นเดียวกับยูโด ของญี่ปุ่นหรือ เทควันโด ของเกาหลีใต้ 3.ผดุงและส่งเสริมให้แก่นักมวยไทยและสากล ให้เป็นอาชีพที่มั่นคงประเภทหนึ่ง 4.สร้างนักมวยสากลแชมเปี้ยนโลก เพื่อส่งเสริมเกียรติภูมิของชาติไทย 5.ร่วมมือกับสถาบันอื่นๆ ที่มีวัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน พื้นที่ เนื้อที่ดิน 1501.75 ตารางวา (ประมาณ 3 ไร่ 3 งานเศษ) โดยเช่าที่ดินจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ผู้ก่อตั้ง พลตรี ประภาส จารุเสถียร (ผู้บัญชาการทหารกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ในขณะนั้น) หน่วยงานรับผิดชอบ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ รับผิดชอบตั้งแต่ 8 ธันวาคม 2499 - 30 มิ.ย. 2522 กรมสวัสดิการทหารบก รับผิดชอบตั้งแต่ 1 ก.ค. 2522 - ปัจจุบัน หลักการดำเนินงานของสนามมวยเวทีลุมพินี 1.การบริหารและการดำเนินกิจการทั้งปวง จะต้องให้สอดคล้องกับนโยบายของทางราชการที่กำหนดไว้ทุกประการ ให้การดำเนินกิจการสนามมวยจะต้องคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของกองทัพบก และประเทศชาติ พัฒนาก้าวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง และส่งเสริมศิลปะมวยไทยและสากลให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น ตลอดจนส่งเสริมอาชีพชกมวยให้คงอยู่ตลอดไป และเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจของประชาชนอีกทางหนึ่งด้วย 2.เงินรายได้ที่เกิดจากการดำเนินกิจการสนามมวย ส่วนหนึ่งนำมาช่วยเหลือกิจการที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม อาทิ การกุศล, ช่วยเหลือทหารชายแดน, ช่วยด้านสวิสดิการของข้าราชการกองทัพบก, สนับสนุนหน่วยต่างๆ ในกองทัพบก, บำรุงกีฬาของกองทัพบกและพัฒนาสนามมวยเวทีลุมพินีให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น 3.พัฒนาสนามมวยเวทีลุมพินีเป็นศูนย์มวยไทยของโลก และส่งเสริมการเผยแพร่ศิลปะมวยไทยออกไปยังต่างชาติทั่วโลก 4.ส่งเสริมให้มีแชมเปี้ยนโลกมวยสากลมากขึ้น 5.ร่วมมือกับสมาคมมวยสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ให้นักชกไทยได้รับเหรียญทองในโอลิมปิกให้ได้ 6.ให้ผู้จัดรายการมวยให้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพทัดเทียมกัน และค่าดูยุติธรรม 7.พัฒนาการตัดสินมวยของกรรมการเทคนิค ให้มีคุณภาพและเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ 8.ให้ความปลอดภัยกับผู้เข้าชมการแข่งขันชกมวยในสนามทั้งด้านตัวบุคคลและทรัพย์สินรวมทั้งป้องกันมิให้มีการโกงในสนาม (ชักดาบ) 9.ให้ความร่วมมืออย่างดียิ่งกับ สมาคมกีฬามวยอาชีพแห่งประเทศไทย, สนามมวยเวทีราชดำเนิน, สนามมวยในส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ และสถาบันอื่นๆ ที่มีวัตถุประสงค์เดียวกัน 10.สร้างความสัมพันธ์อันดีกับสื่อมวลชนทุกสาชา และประชาชนโดยทั่วไป คุณสมบัติของโปรโมเตอร์ที่ดีอันพึงปรารถนาของ สนามมวยเวทีลุมพินี 1.มีหัวหน้าคณะนักมวยและนักมวยที่มีคุณภาพอยู่ในคอนโทรล 2.มีความขยันในการทำงาน 3.เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมของวงการมวยยิ่งกว่าประโยชน์ของตัวเอง 4.ปฏิบัติตามนโยบายของสนามฯ อย่างเคร่งครัด 5.ถือว่าเป็นสมาชิกของ "ทหาร" จึงต้องมีวินัยของทหารในการทำงาน 6.จัดคู่มวยให้เป็นที่นิยมของผู้ชมการแข่งขันในราคาที่ยุติธรรม 7.เป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการมวย 8.ไม่ทำความเสื่อมเสียให้กับสนามมวยเวทีลุมพินีในทุกกรณี 9.มีความรัก สามัคคี สร้างสรรค์ จรรโลง วงการมวย

กติกามวยไทย

กติกาข้อที่ 1 " สังเวียน " ในการแข่งขันทั่ว ๆ ไป สังเวียนต้องเป็นไปตามข้อกำหนดต่อไปนี้ ขนาด สังเวียนต้องเย็บมุมสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดเลิก ด้านละ 20 ฟุต (6.10 เมตร) และขนาดใหญ่ ด้านละ 24 ฟุต (7.30 เมตร) ซึ่งวัดภายในของเชือก พื้นและมุม พื้นสังเวียนต้องสร้างให้ปลอดภัย และได้ระดับปราศจากสิ่งกีดขวางใด ๆ และต้องยื่นออกไปนอกเชือก อย่างน้อย 90 ซม. (36 นิ้ว) พื้นสังเวียนต้องอยู่สูงจากพื้นอาคารไม่ต่ำกว่า 4 ฟุต และสูงไม่เกิน 5 ฟุต ตั้งเสาขนาด 4-5 นิ้ว สูงขึ้นไปจากพื้นเวที 58 นิ้ว มุมทั้งสี่ต้องหุ้มนวมให้เรียบร้อยหรือจะทำอย่างใดที่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายแก่นักมวย การปูพื้นสังเวียน พื้นสังเวียนต้องปูด้วย ยาง ผ้าอย่างอ่อน เสื่อฟางอัด ไม้ก๊อกอัดหรือวัสดุอื่นที่เหมาะสม หนาไม่น้อยกว่า 1 นิ้ว และไม่หนากว่า 1? นิ้ว และปูทับด้วยผ้าใบให้ตึงและมิดชิดคลุมพื้นสังเวียนทั้งหมด เชือก ต้องมีเชือก 4 เส้น มีความหนาอย่างน้อย 3 ซม. (1.18 นิ้ว) อย่างมาก 5 ซม. (1.97 นิ้ว) ขึงตึงกับเสามุมทั้งสี่ของสังเวียน สูงจากฟื้นสังเวียนขึ้นไปถึง ด้านบนของเชือก 45 ซม. (18 นิ้ว) 75 ซม. (30 นิ้ว) 105 ซม. (42 นิ้ว) และ 135 ซม. (54 นิ้ว) ตามลำดับเชือกต้องหุ้มด้วยวัสดุที่อ่อนนุ่มและเรียบ เชือกแต่ละด้านของสังเวียนต้องผูกยึดกันด้วยผ้าเหนียว 2 ชิ้น ซึ่งมีขนาดกว้าง 3 – 4 ซม. (1.2 – 1.6 นิ้ว) ให้มีระยะห่างเท่า ๆ กัน และผ้าที่ผูกนั้นต้อง ไม่เลื่อนไปตามเชือก บันได สังเวียนต้องมีบันได 3 บันได มีขนาดกว้างไม่น้อยกว่า 3 ? ฟุต สองบันไดต้องอยู่ที่มุมตรงข้ามสำหรับผู้เข้าแข่งขันและพี่เลี้ยง ส่วนอีกบันไดหนึ่ง ให้อยู่ที่มุม กว้าง สำหรับผู้ชี้ขาดและแพทย์ กล่องพลาสติก ที่มุมกลางทั้งสองมุมนอกสังเวียน ให้ติดกล่องพลาสติกมุมละ 1 กล่อง เพื่อให้ผู้ชี้ขาดทิ้งสำลี หรือกระดาษที่ใช้ซับเลือก กติกาข้อที่ 2 อุปกรณ์สังเวียน อุปกรณ์ประจำสังเวียนจะต้องประกอบด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้ ที่นั่งพักนักมวย สำหรับนักมวยนั่งพักระหว่างยก 2 ที่ ขวดน้ำขนาดเล็ก 2 ขวด สำหรับดื่ม และขวดน้ำชนิดพ่นฝอย 2 ขวด ไม่อนุญาตให้นักมวยหรือที่เลี้ยงใช้ขวดน้ำชนิดอื่น ๆ ในสังเวียน ผ้าเช็ดตัว 2 ผืน น้ำ 2 ถัง โต๊ะและเก้าอี้สำหรับเจ้าหน้าที่ ระฆัง นาฬิกาจับเวลาชนิดกดหยุดได้ 1 หรือ 2 เรือน ใบบันทึกคะแนน หีบใส่กุญแจสำหรับเก็บใบบันทึกคะแนน ป้ายบอก ยก – เวลา – คู่ 1 ชุด นวม 2 คู่ กางเกงมวยสีแดง และสีน้ำเงิน อย่างละ 1 ตัว กระจับพร้อมเชือก 1 – 2 อัน ฉากบังตา 2 อัน (ใช้ในกรณีที่นักมวยกระจับหลุด) เปลหามคนเจ็บ 1 ชุด กรรไกรปลายมน 1 อัน กติกาข้อที่ 3 " นวม " นวมที่ใช้ในการแข่งขันแต่ละครั้ง ต้องมีคุณสมบัติดังนี้ นวมที่ใช้ในการแข่งขัน ผู้แข่งขันต้องใช้นวมที่ได้รับการรับรองจากสภามวยไทยโลก ซึ่งคณะกรรมการจัดการแข่งขันจัดไว้ให้เท่านั้น ไม่อนุญาตให้ผู้แข่งขัน ใช้นวมของตัวเอง รายละเอียดของนวม นักมวยตั้งแต่รุ่นเล็กถึงรุ่นน้ำหนัก 122 ปอนด์ ใช้นวมขนาด 8 ออนซ์ ( กรัม) นักมวยรุ่นสูงกว่า 122 ปอนด์ ถึงรุ่นน้ำหนัก 147 ปอนด์ ใช้นวมขนาด 10 ออนซ์ (284 กรัม) ส่วนที่เป็นหนังต้องหนักไม่เกินครึ่งหนึ่งของน้ำหนักนวมทั้งขนาดและไส้นวมต้องมีน้ำหนักไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของน้ำหนัก นวมทั้งหมด ไส้นวมต้องไม่เปลี่ยนรูปหรือถูกบดขยี้ให้กระจายไปจากรูปเดิม ต้องผูกเชือกนวมให้ปมเชือกอยู่ด้านนอกหลังข้อมือของนวม ให้ใช้นามที่สะอาด และให้การได้เท่านั้น การตรวจผ้าพันมือและการสวมนวม ทั้งนวมและผ้าพันมือจะต้องเหมาะสม อยู่ภายใต้การตรวจตราของเจ้าหน้าที่ตรวจนวม เจ้าหน้าที่จะต้องคอยดูแลเพื่อให้แน่ใจว่า นักมวยปฏิบัติถูกต้องตามกติกาทุกอย่าง จนกระทั่งนักมวยขึ้นสู่เวที

ประวัติมวยไทย

ต่อ ๆ มาที่หลักเมือง ที่สวนกุหลาบสนามชัย ท่าช้าง เคยเห็นนักมวยและมิตรสหายชาวเกลอของนักมวยยกพวกตีกันหัวร้างข้างแตก ภายหลังจากการชิงชัย เพราะว่าฝ่ายใดไม่พอใจ ขุ่นแค้นอาฆาตพยาบาท หรือเพียงแพ้พนัน แต่เมื่อได้มาเห็นนักมวยที่หน้าตายับเยิน ตรงเข้าสวมกอดกันหลังจากที่การชกได้ยุติ ลงและจูงมือเข้าโรงอาหารหรือสุรา เมื่อออกจากสนามก็มักจะตื่นเต้นในความเป็นนักกีฬาที่แสดงแก่กันนั่นเองที่ผลของพลศึกษาในสาขาวิชามวย ทั้งแบบไทยและสากล ได้ให้แก่จิตใจของนักกีฬาและประชาชนตลอดยุคแห่งการล้มลุกคลุกคลานของกีฬามวยจากสวนกุหลาบยุคโน้น มาจนถึงเวทีราชดำเนินในปัจจุบัน ความเป็นมาของมวยไทย มวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวที่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งในเชิงกีฬาและการต่อสู้จริง ๆ ศิลปะประเภท นี้มีมาแต่โบราณกาล บรรพบุรุษของชาติไทยได้ฝึกฝนอบรมสั่งสอนกุลบุตรไว้เพื่อป้องกันตัวและชาติ บรรดาชายฉกรรจ์ของไทยได้รับการฝึกฝน วิชามวยไทยแทบทุกคน นักรบผู้กระเดื่องนามทุกคนต้องได้รับการฝึกฝนอบรมศิลปะประเภทนี้อย่างจัดเจนทั้งสิ้น เพราะการใช้อาวุธในสมัยโบราณ เช่น กระบี่ พลอง ดาบ ง้าว ทวน ฯลฯ ถ้ามีความรู้วิชามวยไทยประกอบด้วยแล้วจะทำให้เกิดประโยชน์มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่เข้าต่อสู้ติดพันประชิดตัว ก็จะได้อาศัยใช้อวัยวะบางส่วนเข้าช่วย เช่น เข่า เท้า ศอก เป็นต้น แต่เดินมาศิลปะมวยไทยที่มีชั้นเชิงสูงมักจะฝึกสอนกันในบรรดาเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ หรือเฉพาะพระมหากษัตริย์และขุนนางฝ่ายทหารเท่านั้น ต่อมาจึงได้แพร่หลายไปถึงสามัญชนซึ่งได้รับการถ่ายทอดวิทยาการจากบรรดา อาจารย์ซึ่งเดิมเป็นขุนพลหรือยอดนักรบมาแล้ว วิทยาการจึงได้แพร่หลายและคงอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้ มวยไทยศิลปะการต่อสู้และป้องกันตัว แต่ก็แตกต่างไปจากมวยสากล คือ นอกจากจะใช้หมัดชกคู่ต่อสู้แล้ว ยังสามารถใช้ เท้า เข่า และศอกต่อสู้ได้อีก การใช้หมัดชกในแบบมวยไทย นอกจากจะมีการชกตรง ชกชุด และชกอัปเปอร์คัต เหมือนกับแบบมวยสากลแล้ว มวยไทยยังได้มีการชกมวยแบบมุดตัวเหวี่ยง หมัดกลับ ถ้าคู่ต่อสู้ไม่ได้จ้องดูและไม่ก้มศีรษะลง มักจะถูกหมัดเหวี่ยงกลับของคู่ต่อสู้ถึงกับน็อกเอาท์ก็ได้ หมัดเหวี่ยงกลับก็เป็นหมัดหนึ่งคล้ายกับมุด ตัวเหวี่ยงหมัดกลับ แต่ใช้ข้อมือหรือหลังมือทุบหรือตีคู่ต่อสู้ นักมวยไทยทั่ว ๆ ไปยังใช้วิธีชกตามแบบเหล่านี้อยู่ และนอกจากนั้นยังใช้อวัยวะอย่าง อื่นช่วยได้อีกหลายวิธี เช่น ใช้เท้าเตะต่ำ เตะสูง เตะตรง เตะตัด และถีบ ซึ่งจะใช้ได้ทั้งปลายเท้า ฝ่าเท้า หลังเท้า และส้นเท้า นักมวยไทยมีความชำนาญ มากในการใช้เท้า ส่วนใหญ่เป็นการเตะและถีบ ส่วนการใช้เข่า นักมวยไทยก็ใช้ได้หลายวิธีด้วยกัน เช่น กระโดดตีเข่า จับกอดคู่ต่อสู้ตีเข่า นอกจากนั้น ยังรู้จักใช้ศอกซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายอย่างยิ่ง วิธีตีศอกก็มีอยู่หลายวิธีด้วยกัน คือ ศอกตี หมายถึงกดปลายศอกลงโดยตรงศอกตัด คือ เหวี่ยงศอกขนานกับพื้น ศอกงัด คือ วัดปลายศอกขึ้น หรือยกปลายศอกขึ้น ศอกพุ่ง คือ พุ่งศอกออกไปยังคู่ต่อสู้ ศอกกลับ คือ การหมุนตัวกลับพร้อมกับตีศอกตามแบบต่าง ๆ ไปด้วย การชกมวยไทยในสมัยโบราณเป็นการต่อสู้กันแบบตัวต่อตัว ต่อสู้กันจริง ๆ และหวาดเสียวตื่นเต้นมากกว่าสมัยนี้นักมวยสมัยเก่าต้องใช้ด้าย ดิบชุบแป้งให้แข็ง เส้นโตขนาดดินสอดำพันมือตั้งแต่สันมือตลอดถึงข้อศอก และพันรัดเป็นปมทางด้านหลังของข้อนิ้วมือ (สันหมัด) เป็นรูปก้นหอยที่เรียกว่า “คาดเชือก” ซึ่งไม่มีการสวมนวมเหมือนอย่างสมัยปัจจุบัน ฉะนั้นการชกแข่งขันในสมัยนั้นเมื่อถูกชกใบหน้า หรือเพียงแต่เฉียดผิดหนังส่วนใดส่วนหนึ่งไปเท่านั้น ก็แน่นอนทีเดียวว่าจะทำให้เลือดซึมออกมาทันที ในสมัยก่อน เมื่อครั้งยังไม่มีกติกาข้อห้ามมากนัก กับทั้งไม่รัดกุมเหมือนสมัยปัจจุบัน นักมวยทั้งสองฝ่ายจะ ต้องต่อสู้กันอย่างระมัดระวัง ศีรษะก็ใช้ชนคู่ต่อสู้ได้ เพียงแต่ห้ามกัดกันเท่านั้นต่อมาได้แก้ไขปรับปรุงกติกาการแข่งขันเรื่อยมาจนถึงสมัยปัจจุบัน การแข่งขันมวยไทยในปัจจุบันนี้ นักมวยต้องสวมนวม ขนาด 4 ออนซ์ และแต่งกายแบบนักกีฬามวย คือ สวมกางเกงขาสั้น สวมกระจับ ส่วนผู้ใดจะสวมปลอกรัดข้อเท้า และจะมีเครื่องรางของขลังผูกไว้ที่แขนท่านบนก็ได้ ในการแข่งขันมีผู้ตัดสินชี้ขาดบนเวที 1 คน มีผู้ตัดสินให้คะแนนอยู่ข้างเวที 2 คน มีผู้จับเวลา 1 คน และมีแพทย์ประจำเวที 1 คน จำนวนยกในการแข่งขันทั้งหมดมี 5 ยก ยกละ 3 นาที พักระหว่างยก 2 นาที การแข่งขันแบ่งเป็นรุ่นตามน้ำหนัก ตัวของนักมวยเหมือนกับหลักเกณฑ์ของมวยสากล ผู้ตัดสินมีอำนาจหน้าที่ตามกติกาการแข่งขัน อวัยวะที่ใช้ในการต่อสู้แข่งขันได้คือ หมัด เท้า เข่า และศอกเข้าชก เตะ ถีบ ทุบ ถอง ตี ฯลฯ ได้ทุกส่วนของร่างกายโดยไม่จำกัดที่ชก ก่อนการแข่งขันนักมวยทั้งสองจะทำการไหว้ครูและร่ายรำ คือ กราบสามครั้ง เพื่อระลึกถึง บิดา มารดา ครูอาจารย์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือ ตลอดจนขอคุณพระศรีรัตนตรัย หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มาช่วยคุ้มครอง และขอให้ได้ชัยชนะด้วยความปลอดภัยในที่สุดแล้วจึงร่ายรำไปรอบ ๆ เวทีตามแบบ ฉบับของครูที่ได้สอนไว้ให้โดยตลอด นักมายทุกคนจะสวม “มงคล” ที่ศรีษะมงคลนี้ทำด้วยด้ายดิบหลายเส้นรวมกันแล้วพันหุ้มด้วยผ้าโตขนาดนิ้วมือทำเป็น รูปบ่วงเพื่อสวมศีรษะ การสวมมงคลไว้ก่อนแข่งขันนี้เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีของไทย ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งครูอาจารย์ได้ทำพิธีปลุกเสก และให้ความเป็นสิริมงคลไว้แก่ตน ฉะนั้นนักมวยจะสวมมงคลไว้ตลอดเวลาที่ทำการไหว้ครูและร่ายรำ และจะถอดออกจากศีรษะได้ในเมื่อจะเริ่มการแข่งขัน ในระหว่างการไหว้ครูและร่ายรำนั้นจะมีดนตรีบรรเลงประกอบตามทำนอง ของดนตรีไทยเป็นจังหวะช้า ๆ เครื่องดนตรีเหล่านั้นได้แก่ ปี่ชวา กลองแขก 2 และฉิ่ง 1 เมื่อถอดมงคลแล้วกรรมการผู้ชี้ขาดจะให้นักมวยทั้งสองมาจับมือกัน ซึ่งเป็นการแสดงถึงการมีน้ำใจเป็นนักกีฬาพร้อมกันนั้นก็จะตักเตือนกติกาสำคัญ ๆ อันเกี่ยวกับการแข่งขันให้นักมวยทั้งสองได้ทราบ ครั้นเมื่อการต่อสู้ได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจังแล้วดนตรีบรรเลงในทำนองเร่งเร้าให้นักมวยทั้งสองเกิดความ รู้สึกฮึกเหิมและมุ่งเข้าต่อสู้กันอย่างดุเดือด การร่ายรำและการต่อสู้โดยมีดนตรีประกอบนั้น นอกจากจะถือว่าเป็นศิลปะแล้ว ยังเป็นประเพณีอันดีงามของ ชาวไทยมาแต่โบราณกาล จนไม่อาจจะทิ้งให้สูญหายไปเสียได้ ปัจจุบัน การแข่งขันมวยไทยเป็นกีฬาอาชีพโดยสิ้นเชิงเฉพาะในกรุงเทพฯ มีการแข่งขันเป็นประจำเกือบทุกวัน วันละ 2 รอบก็มี สำหรับการควบคุม มวยอาชีพขึ้นอยู่กับกฎข้อบังคับของกระทรวงมหาดไทย ที่มิใช่อาชีพก็มีเพียงการฝึกสอนในสถาบันการพลศึกษาเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อมิให้ศิลปะมวยไทย สูญหายไปและเพื่อรักษาไว้ซึ่งการกีฬาประจำชาติอันเป็นศิลปะในการต่อสู้ชาวต่างประเทศที่มีโอกาสได้มาท่องเที่ยวในประเทศไทย ก็มักจะไม่ยอมพลาด โอกาสที่จะไปชมการแข่งขันมวยไทยจะต้องพยายามเข้าชมการแข่งขันมวยไทย ปรากฏว่าเป็นที่น่าสนใจของชาวต่างประเทศมาก เพราะมวยไทยมีวิธีชกแปลก ที่สุดในโลก และยิ่งกว่านั้นนักมวยไทยยังได้เคยเดินทางไปแสดงในต่างประเทศหลายครั้งจนเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายทั่วไป มีศิลปะการต่อสู้ของชาติต่าง ๆ ได้ขอเข้ามาต่อสู้กับมวยไทย เช่น ยูโด คาราเต้ เทควันโด มวยสากล มวยปล้ำ มวย Kick Boxing, Martrialart ฯลฯ ซึ่งการต่อสู้แต่ละครั้งมวยไทยจะเป็น ฝ่ายได้รับชัยชนะ ทำให้ชาวต่างชาติเห็นว่าการต่อสู้แบบมวยไทย เป็นวิธีการต่อสู้ที่มีพิษสงรอบด้าน จึงพากันสนใจเรียนมวยไทยกันมาก อีกทั้งมีคนไทยที่มี ความรู้ด้านมวยไทยเป็นอย่างดี ซึ่งอาจเป็นครูสอนมวยไทยมาก่อน หรือบางคนเป็นนักมวยที่มีฝีมือและมีชื่อเสียงมาก่อนไปอาศัยในต่างประเทศ ได้เปิดสอนมวย ไทยในประเทศที่ตนเองไปอาศัยอยู่นั้น ซึ่งได้รับการสนใจเป็นอันมาก ปัจจุบันมวยไทยอาชีพได้เผยแพร่จนเป็นที่รู้จักทั่วกัน จนมีการจัดการแข่งขันมวยไทย ในต่างประเทศบ่อย ๆ เช่น อังกฤษ อเมริกา แคนาดา เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น ฯลฯ เป็นการแข่งขันมวยไทยระหว่างนักมวยไทยกับมวยต่างชาติที่ฝึกและนิยมมวยไทย หรือการแข่งขันระหว่างนักมวยไทยด้วยกันเองในต่างแดนจากความสนใจของชาวต่างชาติที่ฝึกมวยไทยนี้เอง จึงมีนักมวยต่างชาติเข้าใจและมีฝีมือ ในการต่อสู้แบบมวยไทยเป็นอย่างดียิ่งขึ้น

ชวาซัดหอก

ชวาซัดหอก


เป็นไม้มวยใช้ป้องกันหมัดคู่ต่อสู้และตอบโต้ด้วยศอก
ในภาพ ฝ่ายขาวใช้หมัดขวาทิ่มเข้าตรงหน้าฝ่ายดำ ฝ่ายดำก้มตัวหลบทางขวาพร้อมกันนั้นก็ใช้ฝ่ามือขวากันแขนขวาของฝ่ายขาวออกไปทางซ้าย เป็นการป้องกัน ในขณะเดียวกันก็สืบเท้าซ้ายไปข้างหน้า พร้อมกับใช้ศอกซ้าย เหวี่ยงหรือกระทุ้งเข้าที่กลางลำตัวของฝ่ายขาว เป็นการตอบโต้


อิเหนาแทงกริช



เป็นไม้มวยใช้ป้องกันหมัดคู่ต่อสู้ และตอบโต้ด้วยเข่า
ในภาพฝ่ายขาวใช้หมัดขวาทิ่มเข้าตรงหน้าฝ่ายดำ ฝ่ายดำใช้ฝ่ามือขวากันแขนของฝ่ายขาวออกไปทางซ้าย เป็นการป้องกัน ในขณะเดียวกันก็ใช้เข่าซ้าย แทงเข้าที่กลางลำตัวของฝ่ายขาวเป็นการตอบโต้






ยกเขาพระสุเมรุ




เป็นไม้มวยใช้ป้องกันคู่ต่อสู้เหวี่ยงแข้งและตอบโต้ด้วยการจับทุ่ม
ในภาพ ฝ่ายขาวใช้ขาขวาเหวี่ยงแข้งสูงเข้าบริเวณลำคอด้านซ้ายของฝ่ายดำ ฝ่ายดำหลบลำตัวต่ำ พร้อมทั้งสืบเท้าซ้ายไปข้างหน้า แล้วใช้ฝ่ามือขวากันขาขวาฝ่ายขาวไว้ เป็นการป้องกัน ในขณะเดียวกันก็ใช้มือซ้ายโอบขาขวาฝ่ายขาวไว้ยกขึ้นใส่บ่าแล้วยกขาขวาฝ่ายขาวขึ้นสูงพร้อมกับดันไปข้างหน้า ทำให้ฝ่ายขาวเสียหลักล้มลงได้ เป็นการตอบโต้





ตาเถรค้ำฟัก



เป็นไม้มวยใช้ป้องกันหมัดคู่ต่อสู้ และตอบโต้ด้วยการกระทุ้งหมัดขึ้น
ในภาพ ฝ่ายขาวใช้หมัดซ้ายทิ่มเข้าตรงหน้าฝ่ายดำ ฝ่ายดำใช้ฝ่ามือขวากันแขนขวาฝ่ายขาวไปทางซ้ายเป็นการป้องกันตัว ในขณะเดียวกันก็ใช้หมัดซ้ายกระแทกเสยเข้าบริเวณปลายคางของฝ่ายขาวเป็นการตอบโต้

ปักษาแหวกรัง


เป็นไม้มวยใช้ป้องกันและตอบโต้ เมื่อคู่ต่อสู้เข้าปล้ำและกอดรัด
ในภาพ ฝ่ายขาวเคลื่อนตัวเข้าหาฝ่ายดำและใช้แขนทั้งสองจะเข้ากอดรัด ฝ่ายดำยกแขนทั้งสองสอดเข้ากลาง ระหว่างแขนของฝ่ายขาว ใช้แขนท่อนล่างทั้งสองแขนกันไว้ ไม่ให้ฝ่ายดำโอบแขนเข้ามาได้ เป็นการป้องกัน พร้อมกันนั้นก็ใช้เข่าจะเป็นเข่าใดก็ได้ตามจังหวะการเคลื่อนไหวขณะนั้น ยัดหรือแทงเข่าเข้าไปที่ลำตัวของคู่ต่อสู้ เป็นการตอบโต้

สลับฟันปลา


เป็นไม้มวยใช้ป้องกันและหลบหลีกอาวุธของคู่ต่อสู้
ในภาพ ฝ่ายขาวใช้หมัดซ้ายทิ่มเข้าหน้าฝ่ายดำ ฝ่ายดำเบี่ยงตัวมาทางขวาด้วยการก้าวเท้าซ้ายถอยหลังหรือสืบเท้าขวาไปข้างหน้า แล้วใช้ฝ่ามือขวาผลักแขนของฝ่ายดำออกไปทางซ้าย ถ้าฝ่ายขาวใช้หมัดขวาการป้องกันและตอบโต้ก็ท่าทำนองเดียวกัน แต่เป็นลักษณะตรงกันข้ามคือ เบี่ยงตัวมาทางซ้าย แล้วใช้ฝ่ามือซ้ายตบผลักแขนของฝ่ายดำออกไปทางขวา การยักย้ายถ่ายเทดังกล่าวของทั้งสองท่า มีอาการเคลื่อนไหวของร่างกายและแขนในลักษณะสลับฟันปลาเป็นการป้องกัน ก่อนที่จะหาโอกาสตอบโต้ในจังหวะที่เหมาะสมต่อไป

ไม้มวย หรือลูกไม้

เป็นแบบฉบับการใช้อาวุธจากอวัยวะต่างๆดังกล่าวข้างต้น ประกอบกับการเคลื่อนไหวร่างกายทุกส่วนอย่างผสมกลมกลืน เพื่อป้องกันการกระทำของคู่ต่อสู้ ในขณะเดียวกันก็มีการโต้ตอบกลับไป ตามโอกาสและจังหวะจะโคนของการกระทำนั้นๆ แบบอย่างดังกล่าว มีชื่อเรียกตามลักษณะของการป้องกันและตอบโต้ พอประมวลได้ดังนี้ (ในภาพฝ่ายคาดมงคลขาวเป็นฝ่ายกระทำ ฝ่ายคาดมงคลดำเป็นฝ่ายป้องกันและตอบโต้)

มวยไทย

มวยไทยเป็นการเล่นพื้นบ้าน ที่มีคุณลักษณะของการต่อสู้ป้องกันตัว ด้วยการใช้อวัยวะในส่วนที่สามารถใช้ทำอันตรายคู่ต่อสู้ได้ มาใช้งานอย่างชาญฉลาด และมีศิลปอย่างสูง เช่น หมัด ศอกแขน เท้า แข้ง และเข่าเป็นต้น นับเป็นศิลปะประจำชาติ และเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นประการหนึ่งของคนไทย ได้มีการนำมาใช้ประโยชน์อย่างจริงจังในหมู่ทหาร เพราะในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ต้องผจญกับศึกสงครามมาโดยตลอด จึงต้องฝึกฝนไว้ให้เชี่ยวชาญเพื่อใช้ในการต่อสู้ มีการจัดตั้งสำนักมวยขึ้นฝึกสอนกันโดยทั่วไป ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีผู้ที่ชื่อเสียงโด่งดังในเชิงมวยไทย จนเป็นที่เลื่องลือมาจนถึงปัจจุบันคือ นายขนมต้ม ที่สามารถใช้วิชามวยไทย เอาชนะศัตรูได้เป็นจำนวนมาก แม้แต่พระมหากษัตริย์ของไทยบางพระองค์ในสมัยอยุธยาก็ทรงโปรดปราณ และมีความสามารถในวิชามวยไทย เช่น พระเจ้าเสือหรือ ขุนหลวงสรศักดิ์ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ได้ทรงส่งเสริมวิชามวยไทยให้แพร่หลายยิ่งขึ้นโดยได้ทรงจัดให้มีการแข่งขันชกมวยไทยการกุศล เพื่อเก็บรายได้ไปบำรุงกองเสือป่าขึ้นที่เวทีมวยโรงเรียนสวนกุหลาบ เมื่อ พ.ศ. 2463 สำหรับเวทีมวยไทยอื่นๆ ในครั้งนั้นก็มี เวทีสวนเจ้าเชตุและเวทีหลักเมืองเป็นต้น การชกมวยไทย เป็นการชกด้วยหมัดเปล่าๆ ต่อมาเมื่อมีการแข่งขัน ก็ได้มีการคาดเชือกที่มือ และในระยะต่อมา จึงใช้สวมนวมแทนแบบมวยสากล
คุณลักษณะของมวยไทย มวยไทยใช้อวัยวะ 6 ชนิด ในการต่อสู้กับปรปักษ์ ได้แก่ หมัด ศอก แขนท่อนล่างเท้า แข้ง และเข่า เข้ากระทำกับคู่ต่อสู้ ด้วยการเข้าชก ต่อย เขก โขกทุบ เตะ ถีบ เหน็บ อัด ยัน เหยียบ เหวี่ยง ปัก ทิ่ม เฉือน กระทุ้ง สับ เสียบเฆี่ยน กด ทุ่ม ฟาด มัด รัด หักแขน หักขา หักคอ ฯลฯ อวัยวะแต่ละชนิดดังกล่าวมีวิธีใช้ดังนี้ 1. หมัดใช้ทิ่มกระแทก กระทุ้ง ซึ่งมีทั้งกระทุ้งขึ้นและกระทุ้งลง เหวี่ยง ซึ่งมีซึ่งเหวี่ยงสั้นและเหวี่ยงยาวเขก โขก และทุบ 2. ศอกใช้เหวี่ยง ปัก งัด ทิ่ม เฉือน กด และกระทุ้ง 3. แขนท่อนล่าง ใช้สับ เสียบ ปัด เหวี่ยง และเฆี่ยน 4. เท้า ใช้ถีบ เหน็บ อัด คือการเตะด้วยปลายโต่ง ยัน เหยียบ เตะ และกระตุกเท้า 5. แข้งใช้เหวี่ยงซึ่งมีทั้งเหวี่ยงสั้นและเหวี่ยงยาว 6. เข่าใช้ยิงโยน ยัด เหวี่ยง กุด และกระตุก ไม้มวย เป็นการใช้อวัยวะต่างๆ ดังกล่าว ประกอบกับการเคลื่อนไหวร่างกายที่ผสมกลมกลืนในการรุกและรับซึ่งก็คือการเข้ากระทำต่อคู่ต่อสู้ และการป้องกันตัว ซึ่งนับว่าเป็นศิลปะที่มีการประยุกต์ใช้ให้เกิดผลในรูปแบบต่างๆ ไม่มีที่สิ้นสุด แม่ไม้ คือท่าครู เป็นท่าย่างสามขุมที่มีองค์ประกอบของการต่อสู้ และการป้องกันตัวอยู่พร้อมแต่ละครูแต่ละสำนักจะกำหนดท่าขึ้น อันเป็นแบบอย่างของแต่ละคนไป ลูกไม้ หรือไม้มวยไทยมีทั้งไม้เด็ด ไม้ตาย และไม้เป็น ไม้เด็ด คือลูกไม้ที่มีประสิทธิภาพ และมีอันตรายสูงแก่คู่ต่อสู้ ไม้ตาย คือไม้ มวยที่เมื่อฝ่ายที่กระทำใช้ไม้นี้ออกไป ผู้ถูกกระทำจะไม่สามารถป้องกันแก้ไขได้ ไม้เป็น คือไม้มวยที่เมื่อฝ่ายหนึ่งใช้ออกไป อีกฝ่ายหนึ่งสามารถป้องกันแก้ไขได้ ถ้ารู้วิธี
การไหว้ครู ในการแสดงศิลปวิทยาต่างๆ ย่อมมีครูบาอาจารย์เป็นผู้ประสิทธ์ประสาทวิชาการให้ เป็นประเพณีของชาวไทย ซึ่งอบรมสั่งสอนกันมา ในเรื่องความกตัญญูรู้คุณต่อท่านผู้มีพระคุณ เมื่อรู้คุณแล้วก็จะต้องมีกตเวที คือตอบแทนพระคุณในรูปแบบต่างๆ การไหว้ครูเป็นผลจากคุณธรรมดังกล่าวแล้ว ดังนั้น มวยไทยซึ่งเป็นศิลปวิทยาแขนงหนึ่ง จึงอยู่ในกรอบประเพณีดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ต้องมีพิธีไหว้ครูก่อนทำการแข่งขัน สำหรับท่าไหว้ครูมีท่าถวายบังคมเป็นท่าเริ่มแรกนั้น กล่าวกันว่า ในสมัยก่อนการชกมวยไทยมักจะจัดขึ้นหน้าพระที่นั่ง พระมหากษัตริย์มักจะเสด็จออกทอดพระเนตร นักมวยที่จะเข้าแข่งขันเมื่อขึ้นสังเวียนแล้ว จึงต้องเริ่มด้วยการถวายบังคมด้วยลีลาท่าทางของนักมวย การไหว้ครูมีท่ารำอยูหลายท่า ตามแต่ครูบาอาจารย์และเจ้าสำนักมวยต่างๆ จะประดิษฐ์คิดขึ้นมาเป็นแบบอย่าง เช่น ท่าเบญจางคประดิษฐท่าเทพพนมพรหมสี่หน้า ท่าสาวน้อยประแป้ง ท่าหนุมานตบยุง

ยินดีต้อนรับสู่เว็บบล๊อกกีฬาโดยนาย พีระพงษื จันทร์หอม

ยินดีต้อนรับสู่เว็บบล๊อกกีฬาโดยนาย พีระพงษื จันทร์หอม